เมืองแมดิสัน เกษตรกรเป็นใหญ่

คนไทยรู้จัก เมืองแมดิสัน ว่าเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา คือมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวิสคอนซิน วิทยาเขตแมดิสัน (University of Wisconsin at Madison) เก่าแก่ร้อยกว่าปี เรียกว่าก่อตั้งมาก่อนจะประกาศตั้งรัฐนี้อย่างเป็นทางการเสียอีก

อันว่ามหาวิทยาลัยนี้มี 12 วิทยาเขต แต่วิทยาเขตหลักคือ แมดิสันที่ว่านี้ ซึ่งเปลี่ยนให้เมืองเกษตรกรรมเล็กๆ อย่างแมดิสันกลายเป็นเมืองมหาวิทยาลัย ถ้ายกมหาวิทยาลัยออกแมดิสันจะเหลือแต่วัวกับไร่ข้าวโพด เขาว่ากันซึ่งก็จริงเอาเข้าจริงๆ แมดิสันไม่ใช่เมืองหรอก เป็นชุมชนหย่อมหนึ่งของเมืองเล็กๆ ที่เรียกว่า Dane County อีกที

แต่ด้วยความที่แมดิสันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างที่บอก เลยกลายเป็นเมืองสำคัญ กลายเป็นเมืองหลวงของรัฐ เกินหน้าเกินตาเมืองใหญ่เมืองอื่น รวมทั้งมิลวอกี้ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของรัฐ

รัฐวิสคอนซิน อยู่ทางตอนบนของสหรัฐอเมริกา ในส่วนที่เขาเรียกกันว่า Mid West แต่ฉันบอกใครๆ ว่ามันอยู่ตอนบนคือถ้าดูแผนที่สหรัฐอเมริกา มันจะอยู่ทางตอนบน ใกล้ๆ กับแคนาดา อย่างนี้เข้าใจง่ายกว่า

ประชากรของแมดิสันจริงๆ มีไม่กี่หมื่นคน นอกนั้นเป็น นักศึกษา อาจารย์ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลนอกเหนือจากเขตมหาวิทยาลัย ก็เป็นไร่ข้าวโพด ฟาร์มวัว และพื้นที่เกษตรกรรมนานา

ช่วงมหาวิทยาลัยปิด อย่างเช่น ช่วงคริสต์มาสต่อเนื่องถึงปีใหม่ มหาวิทยาลัยปิดยาวนาน 2 สัปดาห์ เมืองทั้งเมืองจะเงียบสนิท ฉันเคยอยู่คนเดียวในภาวะนั้น ขนาดเป็นคนชอบสงบอยู่คนเดียว ยังหวังเหวิดเลยคุณเอ๋ย

ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่แมดิสันสวยที่สุดและอยู่สบายที่สุด ส่วนฤดูหนาวก็เป็นระยะเวลาที่แมดิสันเป็นแมดิสันจริงๆ คือหนาวแบบอุณหภูมิติดลบ 20 องศาเซลเซียส เป็นเรื่องปกติ หนาวอย่างนี้ไม่รักกันจริงก็อยู่กันยาก

สิ่งที่มีชื่อเสียงของแมดิสัน นอกจากมหาวิทยาลัยแล้ว ก็มีตลาดนัดวันเสาร์ของแมดิสัน ซึ่งเป็นตลาดที่เกษตรกรนำสินค้ามาขายกับผู้บริโภคโดยตรง เขาเรียก Farmers market ชื่อเต็มๆ คือ Dane county farmers market ซึ่งเป็นชื่อเมืองที่แมดิสันขึ้นอยู่ แต่ใครๆ ก็เรียกตลาดแมดิสันแหละ

ตลาดนี้มีมาเกือบ 50 ปีแล้ว เป็น Farmers market ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา และจัดอยู่ในกลุ่มเก่าแก่ที่สุดด้วย หลายรัฐเขาเลิกไปแล้ว แต่รัฐเกษตรกรรมอย่างวิสคอนซินเลิกไม่ได้ เสียชื่อตาย

วิสคอนซิน เป็นรัฐที่ผลิตนมเนยป้อนสหรัฐอเมริกา ป้อนโลก เข้าล้อกันไม่เลิกราว่า วิสคอนซินมีวัวมากกว่าคน มันก็อาจจะจริงของเขา ไปทางไหนมีแต่ฟาร์มวัว คนวิสคอนซินกินนมเนยสดๆ ชั้นดี จนเสียนิสัย ฉันกลับไปเมืองไทยใหม่ๆกินนมไทยไม่ได้ มีอาการอี๊อ๊าจนคนรำคาญ แต่มันไม่อร่อยจริงๆ เมื่อเทียบกับนมวิสคอนซิน มันจืดและไม่มีความมันสักครึ่งหนึ่ง

ตลาดนัดแมดิสันมีผักหญ้ากาไก่ในราคาถูก ขายโดยเกษตรกรเอง เขาจะขนผัก ขนปลาเทราท์ ขายเนื้อวัว และอื่นๆ อีกมากมาย มาแต่เช้ามืด รัฐให้ใช้สถานที่ขายราคาถูก เรียกว่าแทบไม่เก็บค่าเช่าเลย เพราะเขาต้องการให้เกษตรกรได้ขายสินค้าตนเองโดยไม่ต้องแบกภาระหนักหนา และผู้บริโภคก็จะได้อาหารดีราคาจับต้องได้

ยิ่งช่วงบ่ายเขาใกล้จะเก็บของกลับบ้าน ผักส่วนใหญ่จะถูกลดราคาน่าใจหาย มันเป็นโอกาสทองสำหรับนักศึกษาเบี้ยน้อยหอยน้อย ซื้อมะเขือเทศ กองละ 1 เหรียญ ผักโขม กองละ 1 เหรียญ ไข่ โหลละ 3 เหรียญ ทุกอย่างสดใหม่ เพราะเขาให้เกษตรกรตัวจริงเท่านั้นเข้ามาขาย

เกษตรกรที่มาขายอาหารต่างๆ เขาจะมีให้เราชิมตลอด นมและเนยและชีสนี่ชิมกันจนพุงกางเลย ปลาแซลมอนรมควันอีก เขามีมากมายหลายเจ้า เดินชิมเจ้าละนิดละหน่อยก็อิ่ม

อย่างที่บอกว่า เขาเป็น Farmers market ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีคนขายเป็นร้อย กินพื้นที่จัตุรัสใจกลางเมืองทั้งหมด พื้นที่นี่อยู่หน้าศาลาว่าการรัฐทีเดียวเลย ดูเอาเถิดว่าเขาให้ความสำคัญกับเกษตรกรขนาดไหน

พอถึงหน้าหนาวหิมะตกหนัก อันว่าหนักแบบแมดิสัน คือหิมะจะหนาอย่างน้อย 3 ฟุต เขาก็จะย้ายเข้าไปในอาคาร ซึ่งก็อยู่ไม่ไกล อาคารที่ให้เข้าไปจัดตลาดนัดไม่ใช่อาคารไก่กา เป็นอาคารหอประชุมใหญ่ทันสมัย ออกแบบโดยสถาปนิกชั้นนำของโลกอย่าง แฟรงค์ ลอยด์ ไรท์

แต่เขาไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ ที่จะเปิดอาคารที่ปูพรมทั้งอาคารให้เกษตรกรเข้าไปขายของ นอกจากรัฐมองว่าอาคารสถานที่ต่างๆ ล้วนเป็นของประชาชนผู้เสียภาษี เขาเหล่านั้นจึงย่อมมีสิทธิ์ใช้ประโยชน์จากมันได้ถ้วนหน้าแล้ว เกษตรกรยังเป็นผู้ออกเสียงเลือกตั้งกลุ่มใหญ่ของรัฐ ที่ไม่มีใครอยากขัดใจ