ที่มา | ครัวชาวบ้าน |
---|---|
ผู้เขียน | พิชญาดา เจริญจิต |
เผยแพร่ |
ถ้าให้เอ่ยชื่อผักรสขม เชื่อได้เลยว่า ชื่อแรกที่แทบทุกคนจะนึกถึงคือ สะเดา นั่นเอง มีบันทึกว่า คนไทยกินสะเดาเป็นผักตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น โดยคนไทยส่วนใหญ่มักชอบกินยอดและดอกสะเดาในช่วงต้นฤดูหนาว เพราะเชื่อว่า “กินสะเดาก่อนเป็นไข้ ช่วยป้องกันไข้ได้ กินสะเดาเมื่อเป็นไข้แล้ว รักษาให้หายได้”
คนไทยในสมัยก่อนถือว่า สะเดา เป็นต้นไม้มงคล ควรปลูกในบริเวณบ้าน โดยกำหนดตำแหน่งให้ปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน และด้วยความเชื่อที่ถือว่าเป็นไม้มงคลนี่เอง ต้นสะเดาช้างจึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดสงขลา และต้นสะเดาไทยทั่วไปเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดอุทัยธานี
ไม่ผิดเลยที่กล่าวว่า สะเดา เป็นต้นไม้มงคล เพราะสะเดารวมทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมเสร็จสรรพในต้น โดยในสะเดาเพียงต้นเดียวมีปัจจัยถึง 3 คือ เป็นยา อาหาร และเป็นไม้ใช้สอยใช้ทำเป็นที่อยู่อาศัยได้ ถ้าสะเดาอายุ 20 ปี เนื้อไม้จะได้แข็งแกร่งเหมือนไม้แดง ไม้ประดู่ สะเดามีแก่นไม้ที่สีสวย สามารถนำมาทำไม้ปูพื้น ทำเฟอร์นิเจอร์ได้ และยังสามารถทำเป็นแปรง และยาสีฟันได้เป็นอย่างดี
สะเดาเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี ขยายพันธุ์ได้ด้วยเมล็ดเพียงเวลา 3 ปี ต้นสะเดาที่โตจากเมล็ดเล็กๆ กลายเป็นต้นไม้สูงถึง 20 ฟุต และสะเดายังเป็นพืชที่มีอายุยืน อาจอยู่ได้นานถึง 200 ปี
สะเดา หวานเป็นลม ขมเป็นยา
สะเดา พืชสมุนไพรรสขมที่มีประโยชน์ และต้องคิดถึงเมนูสูตรเด็ด สะเดาน้ำปลาหวาน ที่กินคู่กับปลาดุกย่างที่แสนเอร็ดอร่อย
ตามตำราแพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่า รสขมเป็นรสชาติที่ดีต่อสุขภาพที่สุด แต่กลับเป็นรสชาติที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบเท่าไรนัก เพราะรสขมนั้นไม่อร่อย ซึ่งอาหารที่มีรสขมที่หากินง่ายในบ้านเรา นอกจากมะระ และบอระเพ็ดแล้ว ก็ยังมีผักสมุนไพรพื้นบ้านอีกหนึ่งชนิด นั่นคือ สะเดา พืชสมุนไพรพื้นบ้านที่คนไทยเรานิยมบริโภคกันมาช้านานแล้ว และนอกจากจะนำมาใช้เป็นอาหารแล้ว ยังนำไปใช้ประโยชน์ในการเกษตรได้อีกด้วย
สะเดา กับคุณค่าทางโภชนาการ
สะเดา เป็นผักสมุนไพรพื้นบ้านด้วยคุณค่าทางโภชนาการ อุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย นอกจากนี้ ยังพบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายที่จะทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพตามมาได้ เช่น ภาวะความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ ระบบภูมิคุ้มกันลดลง และโรคมะเร็ง เป็นต้น
คุณค่าทางโภชนาการของยอดสะเดา ต่อ 100 กรัม ประกอบด้วยสารอาหาร ดังนี้
– พลังงาน 76 กิโลแคลอรี
– คาร์โบไฮเดรต 12.5 กรัม
– โปรตีน 5.4 กรัม
– ไขมัน 0.5 กรัม
– เส้นใยอาหาร 2.2 กรัม
– น้ำ 77.9 กรัม
– เบต้าแคโรทีน 3,611 ไมโครกรัม
– วิตามินบี1 0.06 มิลลิกรัม
– วิตามินบี2 0.07 มิลลิกรัม
– วิตามินซี 194 มิลลิกรัม
– แคลเซียม 354 มิลลิกรัม
– เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม
– ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม
สะเดา สรรพคุณทางยา
สะเดาไทยมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ สะเดายอดเขียว และสะเดายอดแดง ซึ่งสะเดายอดเขียวจะมีความขมน้อยกว่า หรือบางต้นอาจจะขมน้อยจนได้ชื่อว่า สะเดาหวาน หรือสะเดามัน แต่สำหรับสะเดายอดแดงจะมีความขมมากกว่า และเกือบทุกส่วนของต้นสะเดาล้วนมีสรรพคุณทางยามากมาย
- ใบอ่อน แก้โรคผิวหนัง ปรับสมดุลน้ำเหลือง รักษาแผลพุพอง
- ใบแก่ บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร
- ก้าน แก้ไข้ บำรุงน้ำดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงสุขภาพในช่องปาก
- ดอก แก้พิษโลหิต บรรเทาอาการเลือดกำเดาไหล แก้ริดสีดวง แก้อาการคันคอ บำรุงธาตุไฟ
- ผล บำรุงหัวใจ เป็นยาระบาย แก้อาการหัวใจเต้นผิดปกติ
- ผลอ่อน ช่วยเจริญอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้ริดสีดวง แก้ปัสสาวะขัด
- เปลือกต้น เป็นยาขมเจริญอาหาร แก้ไข้ แก้ท้องร่วง แก้กษัย หรือโรคซูบผอมแห้งแรงน้อย ลดเสมหะ แก้อาการท้องเดิน แก้บิด มูกเลือด
- แก่น แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไข้จับสั่น บำรุงโลหิต บำรุงธาตุไฟ
- ราก แก้เสมหะในลำคอ แก้เสมหะที่เกาะแน่นในทรวงอก
- ยาง ใช้ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้
- กระพี้สะเดา แก้น้ำดีพิการให้คลั่งเพ้อ แก้เพ้อคลั่ง บำรุงน้ำดี
- เมล็ดสะเดา นำมาสกัดเป็นน้ำมันสะเดาบริสุทธิ์ ใช้บำรุงผิวพรรณและเส้นผม
สะเดา สมุนไพรรสขม ยาดีที่ควรมีไว้ใกล้ตัว
สะเดา จัดให้เป็นพืชฤดูหนาว และเป็นสมุนไพรที่คนโบราณนิยมนำมากินเป็นผักเครื่องเคียงกับเมนูต่างๆ เช่น ปลาดุกย่าง ปลาทูทอด และกุ้งเผา และต้องกินคู่กับอาหารจะช่วยลดความขมของสะเดา และประโยชน์เน้นๆ จากรสชาติความขมจากสารพอลิแซ็กคาไรด์ และสารลิโมนอยด์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกหรือเนื้อร้าย และยังมีสารเบต้าแคโรทีนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
เมนูอร่อย จากสะเดา
- สะเดาน้ำปลาหวาน กับปลาดุกย่าง
- สะเดาน้ำปลาหวาน กับกุ้งเผา
- ยำดอกสะเดา
- สะเดาทรงเครื่อง
- สะเดาจิ้มน้ำพริก ลาบหมู ลาบปลา ป่นปลา กินคู่กับข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆ
สะเดาน้ำพริกหวาน (สูตรโบราณคนใต้)
เครื่องปรุง
- สะเดา
- กะทิ (หัวกะทิ)
- กระเทียม
- หอมแดง
- พริกขี้หนู
- พริกแห้ง
- กุ้งแห้ง (แช่น้ำให้นิ่มจะได้ตำได้ง่ายๆ)
- กะปิ (ปิ้ง หรือเผาไฟอ่อนๆ ให้หอม)
- น้ำมะขามเปียก
- น้ำตาลปี๊บ (ถ้าใช้ขนมถั่วตัดไม่ต้องใส่ แต่หากชอบหวานก็ปรุงรสชาติตามชอบ)
- ถั่วลิสง หรือขนมถั่วตัด
- เกลือป่น
วิธีทำ
- หอมแดง กระเทียม พริกขี้หนู พริกแห้ง นำไปเผา หรือคั่วไฟให้หอมเตรียมไว้
- นำหอมแดง กระเทียม กุ้งแห้ง กะปิ พริกขี้หนู พริกแห้ง ใส่ขนมถั่วตัด มาตำรวมกัน
- เติมน้ำมะขามเปียก และใส่หัวกะทิข้นๆ ชิมรสตามชอบ ถ้าอ่อนเค็มให้เติมเกลือป่นเท่านั้นห้ามใส่น้ำปลา เพราะน้ำพริกจะเหม็นคาว
- สะเดา ลวกน้ำเดือดๆ ใส่เกลือ หรือผ่านน้ำร้อนที่เดือดจัด แล้วนำมาแช่น้ำเย็นทันที กินกับน้ำพริกสูตรนี้อร่อยมาก จะกินกับปลาทอด ปลาย่าง หรือกุ้งย่าง ก็อร่อยสุดๆ
สะเดา ผักพื้นบ้านของไทยเรานั้นสุดยอดประโยชน์จริงๆ เป็นทั้งอาหารบำรุงร่างกาย สมุนไพรรักษาอาการเจ็บป่วยก็ได้ และยังใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตรได้อีกด้วย เมื่อสะเดามีคุณค่าขนาดนี้ก็อย่าลืมจัดเมนูสะเดาบนโต๊ะอาหารสักมื้อ รับรองได้ทั้งความอร่อยและได้ประโยชน์ครบครันอย่างแน่นอนเลยทีเดียวเชียว
คนโบราณนั้นท่านมีความสามารถในเรื่องการกินผักเพื่อใช้เป็นยาโรคและรักษาได้อย่างลงตัว จนหลายๆ คนในสมัยปัจจุบันต้องยอมรับกันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ควรกินอาหารที่หลากหลายและครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์และแข็งแรง
เผยแพร่ครั้งแรก วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2563