ตลาดทางเลือก อาหารเลือกได้ ทางออกของชีวิต

ตลาดทางเลือก สิ่งที่เลือกได้อาหารที่ไม่ผูกขาด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไปตลาดทางเลือกมา ชื่อตลาดป่าไผ่ อยู่ที่ ควนขนุน พัทลุง เพื่อนฉันเป็นคนชอบต้นไผ่ ส่วนฉันเป็นคนชอบตลาด เราจึงชวนน้องอีกสองคนไปตลาดป่าไผ่กัน

นั่งรถประจำทางจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ไปพัทลุง ลงที่แยกโพธิ์ทอง ก่อนถึงพัทลุง รอตรงศาลาเข้าทะเลน้อย จะมีรถเข้าไปหรือเลือกมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ได้ หรือจะขอให้เจ้าของบ้านพักทวีสุขออกมารับก็ได้ค่ะในกรณีที่พักที่ทะเลน้อยสักคืน ฉันเลือกพักที่ทะเลน้อยหนึ่งคืน จงขอให้เจ้าของใจดีขับรถมารับ

ในระหว่างขับรถเธอบอกว่า เธอเล่าเรื่องตลาดป่าไผ่ ที่มาที่ไปว่าต้องการให้ผู้คนมีทางเลือกในการซื้อของใช้ของกินเป็นการพึ่งตนเองกันในชุมชน และบอกกับใครๆ ว่าบ้านเรามีอะไรบ้าง มีอะไรดี

ที่บ้านพักมีคุณยายสูงวัยนั่งอยู่ข้างหน้า “แม่เป็นประชาสัมพันธ์ ที่กบได้กลับบ้านมาทำบ้านพัก มาช่วยกันทำกิจกรรมต่างๆ และตลาดด้วย เพราะต้องกลับมาดูแลแม่นี่แหละ” เธอบอก

ยามเย็นเพื่อนของรุ่นน้องมารับไปดูตลาดป่าไผ่ เธอบอกว่าในช่วงเย็นที่ยังไม่มีคนขาย คนซื้อ ร่มรื่น บรรยากาศต่างออกไป พวกเราจะได้เห็นร่มเงาทิวไผ่ นับว่ามีโชคด้านนี้จริงๆ

ป้ายประกาศตลาดป่าไผ่

แล้วเราก็ได้พบเจ้าของตลาดตัวจริงแบบไม่มีใครแย่งคุย

“นี่เจ้าของตลาดตัวจริง” ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นแนะ และเธอก็ขอตัวไปเพราะใกล้มืดแล้ว

“เป็นแต่ชื่อนี่ลูก” เจ้าของตลาดตัวจริงว่า แกเป็นแต่ชื่อเท่านั้น

ผู้หญิงร่างเล็กผอมบาง มือหนึ่งถือมีดพร้า มือหนึ่งถือไม้เท้า ใกล้มืดไม่มีใคร เราจึงนั่งคุยกับเจ้าของตลาด วัย 86 ปี

ที่แกบอกว่า “เป็นแต่ชื่อ” เพราะที่ดินทั้งหมดยกให้ลูกๆ ไปหมดแล้ว

นักเขียนนวดคอให้ยายเหียง

ยายเหียง เจ้าของตลาดตัวจริง มีบ้านเล็กๆ อยู่ทางเข้าตลาด ข้างบ้านมีมะเขือยาวเป็นแปลง มะเขือพวง พริกขี้หนู และผักอื่นๆ

“ปลูกผักสวนครัวด้วย มะเขือ พริกขี้หนู ขึ้นสวยมาก”

“ยายปลูกเอง นั่งไม่ลง ขุดๆ เอาเมล็ดซัดลงไป ไม่ปลูกกินเองมันมีแต่ยา” ยายว่า

“โห ยายเก่งมาก เอาจอบขุดๆ แล้วเอาเมล็ดโยนลงไปมะเขือก็ขึ้นแล้ว” เพื่อนเราคนหนึ่งชื่นชม ยายยิ้มแล้วเริ่มต้นเล่าว่าแกทำมาหลาย ยากลำบากไม่กลัว เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่กลัว

“เป็นหญิงอย่าได้กลัว” ยายว่า เหล่าหญิงทั้งห้าหัวเราะชอบใจ รวมยายด้วยเป็นหก โลกตรงนี้มีแต่ผู้หญิงฮึกเหิม สองคนเป็นเมียตำรวจ อีกสามคนเป็นนักเขียน ส่วนยายแกเป็นนักสู้ ผู้มีคำพูดเด็ด “เป็นหญิงอย่าได้กลัว” หนักแน่น เด็ดเดี่ยว และภาคภูมิใจ

“ยายทำอะไรมาบ้าง”

“ทำทุกอย่าง รับจ้างกะทำ ใครจ้างทำไหรทำ”

ยายบอกว่า รับจ้างเก็บข้าวในนา เก็บด้วยแกะ (เครื่องมือเก็บข้าว) เลี้ยงวัวโขลง (เป็นฝูง)

“วัวตัวเก้าบาทตอนนี้สองหมื่นห้า” ยายว่า

“เก้าบาท” เพื่อนอุทาน “เก้าบาทยายยืนยัน” เราบอกยายว่า ค่าของเงินในยุคยายแข็งจริงๆ เก้าบาทซื้อวัวได้ตัวหนึ่ง ตอนนี้ซื้อวัวสักตัวสองหมื่นห้าเทียบกันแล้วเงินยุคเราอ่อนค่าน้อยมาก

“แถวนี้เมื่อก่อนเป็นอะไรยาย” แบบอยากรู้

ยายบอกว่าเป็นนา แถวนี้เป็นนาหมด ยายซื้อมาแพงมาก ไร่ละสามพันบาท ถือว่าแพงมากในช่วงนั้น แต่มันดี ดินดี ยายเลยยอมซื้อแพง

เพื่อนถามว่ายายอยู่กับใคร แกว่าอยู่คนเดียว แต่กลางคืนลูกมานอนด้วย แกล้งถามยายว่า มาครั้งต่อไปมานอนบ้านยายด้วยได้ไหม ไม่ต้องเช่าที่พัก ยายว่าบ้านยายเล็กนิดเดียว แคบ พวกลูกนอนไม่ได้ แต่พวกเรายืนยันว่า นอนได้แต่ไม่ใช่คืนนี้เพราะคืนนี้เราเช่าห้องพักที่ทะเลน้อยแล้ว

“มืดแล้ว กลับก่อนนะยายพรุ่งนี้มาใหม่ จะจำคำยายไว้ เป็นหญิงอย่าได้กลัว”

“กินไหรยายอีหาไว้ให้”

“ยายกินไหรกินนั้นแหละ”

“ยายกินหนมจีน ข้าวกินไม่ค่อยได้ หนมจีนกินได้”

“งั้นเรากินหนมจีนกับยายด้วยนะ”

“มาจริงนะ ยายไม่ใช่เนียน แต่ว่าซื้อไว้ต้องมากิน”

“ยายนี้ทันสมัยเหมือนกันนะพูดเนียนด้วย” เพื่อนว่า เราต้องอธิบายให้เพื่อนฟังว่า คำว่าเนียน ไม่ได้หมายถึงทำเนียนๆ แต่หมายความว่า ขี้เหนียว เป็นคำเก่าที่เราก็ไม่ได้พูดนานแล้ว คำว่าขี้เหนียว คนใต้ใช้คำว่า เนียน หรือ ชิด

นัดพบพรุ่งนี้ ก่อนจากลาถ่ายรูปกันก่อน

กลับมาพักค้างคืนที่ทวีสุข ตื่นมาชมบัวแดงที่ทะเลน้อย ช่วงเมษาของปีนี้บัวแดงบานสวยมากสะพรั่งเต็มสระ งดงามเหมือนความฝันเลยทีเดียว ลงเรือชมดอกบัว เดินเล่นในชุมชน ดูเขาสานสาดจูด แล้วออกมากินหนมจีน ก่อนไปตลาดราวๆ เก้าโมงเช้าตลาดเปิด

เช้าวันใหม่ไปตามสัญญาแต่บ้านยายปิดเงียบ ถามคนที่อยู่ใกล้ๆ ยายไปไหน เขาว่าน่าจะเดินอยู่ในตลาด พวกเราเดินตลาดกันดีกว่า มีของกินหลายอย่างที่ถูกใจ เริ่มตั้งแต่ไอศกรีมบ้านๆ ผักบ้านๆ เดินไปกินไป เพื่อนคนหนึ่งมาจากเชียงใหม่เธอเริ่มต้นที่หัวครกยาร่วงผัดน้ำตาลแดงก่อนเลย กัดกินเหนียวหนึบ (หัวครกยาร่วง – เม็ดมะม่วงหิมพานต์)

ฉันบอกเพื่อนว่า อาหารวัยเยาว์ของฉันมีหลายอย่าง ทั้งขนม ผัก และผลไม้ ตรงกลางลานมีมโนห์รารำ หยุดดูพักหนึ่ง

วุ้นพรก

ออกจากมโนห์รา หยุดดูไอเดียเท่ๆ วุ้นพรก วุ้นใส่กะลามะพร้าว สามสิบบาท

หยุดยืนคุยกับแม่ค้า เธอบอกว่า เมื่อก่อนก็ขายวุ้นธรรมดา แต่เมื่อมาขายตลาดนี้ก็ทำให้แปลกออกไปนิดหนึ่งจึงไปซื้อกะลามะพร้าวที่ร้านขูดมะพร้าวขาย เอามาเลือก มาขัด มาถู แล้วก็นึ่งกะลาอีกครั้งเพื่อความสะอาด ฆ่าเชื้อก่อนเอามาใส่วุ้น

วุ้นกะลาสามสิบบาท สวยเก๋และอร่อย กินขนมหวานแล้วก็ไปหาข้าวกลางวันกินกันบ้าง เลือกซื้ออาหารแล้วมานั่งกินด้วยกัน ต่างเลือกกินของที่หากินยาก  ไม่มีในร้านสะดวกซื้อแน่นอน

เคยฉลู

ฉันเลือกกะปิฉลู เพื่อนเลือกยำสารพัดสมุนไพร และปลาต้มส้ม มาดูกันว่ากะปิฉลูทำอย่างไร ช่วงนี้มีกุ้งเคยตัวเล็กๆ จึงทำกะปิฉลูได้ เรียกว่าทำกินตามฤดูกาล ตัวเคยตัวเล็กๆ ที่เอามาทำกะปินั่นแหละ เอาตัวเคยมาผสมกับไข่ไก่ ปรุงหัวหอมแดง กระเทียม พริกไทย (ถ้าชอบเผ็ด พริกขี้หนูสดนิดหนึ่งพอออกรส) และน้ำปลา คนให้เข้ากันแล้วเอาไปนึ่ง แต่งหน้าด้วยพริกแดงให้สดใสขึ้น คลุกข้าวสวยร้อนๆ อร่อย

ก่อนกลับก็ซื้อของฝากกันหน่อย ฉันได้น้ำมันเขียวกับหนังสือ ตรงไปที่หนังสือเก่าเรื่องรูท ปกผ้าดิบ คนขายบอกว่า เอามาโชว์ให้อ่าน แต่ถ้าอยากได้ก็จะถ่ายเอกสารเย็บเล่มให้ ซึ่งต้องใช้เวลานานหน่อยเพราะหนังสือหนามาก ไม่เป็นไรเอาที่หนังสือขายแล้วกัน “แลถิ่นใต้ ลึกลงไปในวิถีชุมชนใต้” เลือกมาเล่มหนึ่ง พบผู้เขียนด้วย จรูญ น้อยปาน ทั้งเล่มเขียนด้วยลายมือสวยงาม อ่านง่าย เรื่องราวบ้านใต้ที่เราลืมไปแล้วในหลายๆ เรื่อง และคำเก่าๆ บางคำที่ไม่ได้ใช้และหล่นหายไประหว่างทาง อ่านแล้วยิ้ม

แป้งสาคูจากต้นสาคูแท้
สาคูราดน้ำกะทิ

ที่เด็ดสุดอันดับสุดท้ายคือแป้งสาคู แป้งสาคูแท้ๆ ไม่ใช่แป้งมันสำปะหลังที่เอามาทำเป็นสาคูให้เรากินอยู่ทุกวัน แต่เป็นแป้งจากสาคูที่ขึ้นตามพื้นที่ชุ่มน้ำ เอามาขูด ล้างจนเป็นแป้งด้วยวิธีแบบภูมิปัญญาดั้งเดิม ถุงละห้าสิบบาท

ก่อนเดินทางกลับแวะไปบ้านยายเหียงเจ้าของตลาดอีกครั้งหนึ่ง บ้านยายปิดเงียบกำลังจะกลับยายก็เปิดประตูออกมาพอดี ยายไม่ได้ไปไหนแต่ยายปวดคอ นอนตกหมอน ยายเลยนอนต่อ เพื่อนเอายาเขียวที่ซื้อมาใหม่ๆ จากตลาดใหม่ๆ ทาถูนวดให้ยาย สักพักยายเดินเข้าไปในบ้านหยิบยาเหลือง ยาเขียวมาสองขวด พร้อมกับพูดว่า

“สู้นิพกยาเขียวยาเหลืองเหมือนคนแก” ว่าแล้วยายก็ยิ้ม (สู้ภาษาใต้ หมายถึงคุณ)

“ไปยายอีพาไปกินหนมจีน” ยายว่า เราบอกยายว่ากินมาแล้ว ไม่พบยายก็ไปกินเอง

“ไปหาไหรสักอย่างไป ให้ได้สักอย่าง” ยายไม่ยอม เราบอกว่าอิ่มแล้วจริงๆ และได้ของแล้ว

“เหมือนยายหลอกพวกสู้” ยายยังคงอยากให้เราอยู่กับแก แต่เรายืนยันว่า ให้ยายพักผ่อนเถอะ ในที่สุดยายก็ยอม ตอนกลับยายว่า

“เอ็นดูพวกสู้หล่าว ไม่ได้กินไหร”

ที่กล่าวว่าสาคูอันดับสุดท้ายเด็ดสุด สำคัญสุดจริงๆ อยู่ตรงนี้เอง ผู้สูงวัยคนที่สาม

เมื่อกลับมาถึงใต้เพื่อนเอาสาคูของฝากมาให้แม่วาสของฉัน ทันทีที่แม่เห็นสาคู แม่บอกว่า “แม่ทำเป็น” นึกแปลกในใจว่า มันก็ไม่ยากอะไร จึงถามแม่ว่าตั้งน้ำให้เดือดแล้วเอาสาคูลงไปกวนๆ แล้วใส่น้ำตาลใช่ไหม แม่ว่าไม่ใช่ แม่หมายถึงว่า แม่ทำแป้งสาคูเป็น แล้วแม่ก็เล่าเรื่องการทำแป้งสาคู ในขณะที่เล่าใบหน้าของแม่ดูอ่อนเยาว์ขึ้นสักสามสิบปี ที่เด็ดสุดตรงนี้เอง ดูแม่มีความสุขมากในขณะที่เล่าเรื่องการทำแป้งสาคูของแก

หัวครกยาร่วงผัดน้ำตาล

แม่ว่าเอามาเป็นต้น ผ่าแล้วขูด ใช้ตะปูตอกไม้ทำเป็นที่ขูดเป็นซี่ๆ  ขูดกับเหล็กตะปูแหลมๆ ขูดจนได้เนื้อแล้วเอาใส่ผ้าขาวบางแช่ในโคมน้ำ และเอามือกวนๆ ให้เอากากทิ้งเหลือแต่น้ำขาวๆ วางเอาไว้ให้น้ำใสแล้วก็เอาน้ำใสๆ ออกไปเหลือแต่แป้งขาวๆ นอนก้นอยู่ แล้วเอาใส่ผ้าขาวบางอีกที เอาไปตากให้แห้ง

“แล้วมันจะเป็นก้อนเล็กๆ ขรุๆ ได้อย่างไรละแม่” เราถาม

“เสร็จแล้วรวบชายผ้าขาวบางสองข้างแกว่งไปมา” แล้วแม่ก็ทำท่าให้ดู

“แป้งอยู่ในผ้าแล้วจับชายผ้าสองข้างแกว่งไปมาให้แป้งมันร่วนใช่ไหม ทำคนเดียวหรือสองคนก็ได้ใช่ไหมแม่”

“ได้แกว่งไปมาจนแป้งแห้งร่วนดี”

กว่าจะได้มาซึ่งเป็นแป้งสาคูนั่นมันยาวนาน แต่คุ้มค่ากับคุณภาพของอาหารจริงๆ คนสมัยแม่จึงอายุยืน ยายเหียง 86 ปี ถือมีดพร้าเหลาไม้ไผ่ ปลูกผักได้  ยายวาส 96 ปี ช่วยตัวเองในชีวิตประจำวันได้ แม่กบน่าจะแปดสิบเป็นประชาสัมพันธ์นั่งอยู่หน้าเกสเฮ้าส์ได้

ยามเที่ยงวัน ทำสาคูน้ำกะทิกินกัน ตั้งน้ำให้เดือดแล้วเอาสาคูลงไปกวนๆ เติมน้ำตาล คั้นกะทิสดๆ พบว่าหอมพิเศษ กลิ่นสาคูแท้ๆ ที่ต่างออกไปจากการกินสาคูครั้งก่อน ตอนนี้ต้นสาคูไม่ต้องรอขึ้นเองแต่ปลูกได้แล้ว มีคนพร้อมที่จะปลูกและพร้อมจะทำ และหากเราพร้อมที่จะกิน ไม่ใช่แค่แป้งสาคูแต่เป็นของกินอื่นๆ ด้วย แม้ราคาจะสูงกว่าสักนิดกับการซื้อของที่มียากันบูดหรือสารปรุงแต่ง ก็นับว่าคุ้ม

ที่ตลาดทางเลือก เช่น ตลาดป่าไผ่ ตลาดใต้โหนด ทำให้คิดได้ว่า ความจริงเรามีทางเลือก หนีจากการผูกขาดอาหารหรือกินอาหารที่ผูกขาดอยู่ในร้านสะดวกซื้อ เรามีอาหารทางเลือกของเรากินตามฤดูกาลในชุมชนที่เราอยู่ โดยเฉพาะในช่วงที่เลือกได้ และหาทางเลือกกันต่อไป ฉันคิดว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในยามนี้เลย ทั้งเพื่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตด้วย