ผู้เขียน | ธาวิดา ศิริสัมพันธ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ก่อนที่จะไปเรียนรู้ถึงวิธีการทำข้าวเม่า ขออนุญาตหยิบยกเรื่องราวความเป็นมาของ “ข้าวเม่า” ให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันสักหน่อย โดยอ้างอิงจากงานข้อมูลท้องถิ่น สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้ข้อมูลว่า ข้าวเม่า เป็นขนมที่ทำกินตามช่วงฤดูกาล คำว่า “เม่า” นี้ พระยาอนุมานราชธน อธิบายว่า น่าจะเป็นคำเดียวกับคำว่า “มาง” ในภาษาอาหม ที่แปลว่าทุบหรือตำให้เป็นแผ่นบาง ชาวบ้านในภาคอีสานจะนิยมกินแบบธรรมดา คือกินเปล่าๆ ตำเสร็จกินเลย มีบางครั้งอาจนำมาคลุกน้ำตาล มะพร้าวบ้าง

โดยข้าวระยะที่เหมาะสมที่จะนำมาทำข้าวเม่า จะต้องเป็นข้าววัยแรกรุ่นที่เลยระยะนมข้าวแล้วข้างในเปลือกข้าวเริ่มแข็งตัวเป็นเมล็ดมีสีขาว และห่อหุ้มด้วยเยื่อบางๆ สีเขียว อันเป็นแหล่งรวมของวิตามินหลายชนิด และข้าวเม่าที่ทำมาจากข้าวเหนียวจะมีความหวานมากกว่าข้าวเจ้า

คุณไพรยพงศ์ มณีรัตน์ หรือ คุณบี้ อาศัยอยู่ที่หมู่ที่ 8 ตำบลนาหัวบ่อ อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม อดีตมนุษย์เงินเดือน ผันตัวเป็นเกษตรกร ทำเกษตรผสมผสานปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ รวมถึงการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ “ข่าวเม่า” เป็นผลิตภัณฑ์เด่น ที่ทำขายเพียงปีละครั้ง แต่สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวปีละ 50,000 บาท ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน

คุณบี้เล่าถึงจุดเริ่มต้นการแปรรูปสร้างมูลค่าจากข้าวเม่าว่า เดิมทีที่บ้านพ่อกับแม่ประกอบอาชีพทางการเกษตรอยู่แล้ว โดยรูปแบบการทำเกษตรของพ่อกับแม่ค่อนข้างมีความหลากหลาย ทั้งการปลูกข้าวเพื่อไว้สำหรับนำมาแปรรูปทำข้าวเม่าขาย รวมถึงการปลูกยางพารา ปลูกมันสำปะหลัง และการทำปศุสัตว์เลี้ยงวัวแบบซื้อมาขายไปในตลาดซื้อ-ขายวัว นครพนม ซึ่งหลังจากที่ตนเองลาออกจากงานประจำก็ได้เข้ามาสานต่องานทั้งหมดของที่บ้าน รวมถึงการเข้ามาต่อยอดพัฒนาการตลาด และแพ็กเกจจิ้งให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการเข้ามาช่วยอัพเกรดข้าวเม่า ที่จากเดิมเป็นขนมกินเล่นพื้นบ้าน ทำกินทำขายกันเฉพาะในท้องถิ่น มาเปลี่ยนรูปแบบให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้นที่ไม่เพียงแค่ซื้อไว้กินเองแต่ยังสามารถซื้อเป็นของฝากได้ไม่อายใคร ด้วยแพ็กเกจจิ้งที่สวยงามและอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย

ปัจจุบันที่บ้านมีพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดจำนวน 15 ไร่ เลือกปลูกเป็นข้าวเหนียวสายพันธุ์พื้นเมืองเพื่อไว้สำหรับการนำมาทำข้าวเม่าโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ชาวบ้านแถวนี้รู้จักกันดีและมีชื่อเรียกสายพันธุ์ตามพื้นถิ่น ได้แก่ ร้อยวัน สามเดือน น้ำมันงัว สำปาตอง ดาวยวน พัน อินตก เก็ตเต่า เล้าแตก พม่า อิเขียว กข กล่ำ


โดยจุดเด่นข้าวเม่าแม่วิลัยอยู่ที่ความหอม หวาน อร่อย ทำสดใหม่ทุกวัน ด้วยขั้นตอนกระบวนการแปรรูปที่พิถีพิถันใส่ใจทุกรายละเอียด เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ข้าวสำหรับการนำมาทำข้าวเม่า ที่ต้องเป็นข้าวเหนียวเท่านั้น รวมถึงเทคนิคพิเศษในการทำแต่ละขั้นตอนที่ไม่ง่ายกว่าจะสำเร็จออกมาเป็นข้าวเม่าแม่วิลัย


วิธีการทำข้าวเม่าสูตรแม่วิลัย
1. คัดเลือกข้าวที่เหมาะสมกับการทำข้าวเม่า คือต้องไม่อ่อนและไม่แก่จนเกินไป จะทำให้ข้าวมีความเหนียว
2. จากนั้นนำข้าวมาปั่นเพื่อแยกเมล็ดกับฟางข้าวออกจากกัน (ปั่นด้วยเครื่องที่ประดิษฐ์ขึ้นมาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน)
3. นำข้าวที่ได้จากการปั่นแยกเมล็ดมาแช่น้ำ เพื่อแยกข้าวที่ยังไม่โตเต็มที่ออกโดยสังเกตจากข้าวที่ลอยน้ำให้ทำการคัดออก
4. นำข้าวที่จมอยู่ใต้น้ำมาคั่ว จนเมล็ดข้าวสุกมีสีเหลืองทอง โดยขั้นตอนการคั่วถือเป็นอีกขั้นตอนสำคัญ เทคนิคคือการตักน้ำใส่เพิ่มเข้าไปตอนคั่ว จะทำให้ข้าวสุก ไม่แข็งตัว
5. นำข้าวที่คั่วเสร็จมาตากทิ้งไว้ให้ข้าวเย็นประมาณหนึ่งก่อนจึงค่อยนำไปตำ
6. นำข้าวที่ตากไว้มาใส่ครกแล้วเริ่มตำ โดยเป็นครกที่ใช้มอเตอร์ควบคุมการตำอัตโนมัติ
7. ตำจนเริ่มมีเปลือกของเมล็ดหลุดออกมา จากนั้นนำมาเข้าเครื่องสีเพื่อแยกเปลือกกับเมล็ด แล้วนำกลับมาตำใหม่ ทำแบบนี้ซ้ำๆ จนกว่าเปลือกจะหลุดหมด จนได้ออกมาเป็นข้าวเม่าสีเขียวสวย น่ากิน
8. เข้าสู่ขั้นตอนบรรจุแพ็กสุญญากาศ พร้อมติดสติ๊กเกอร์แบรนด์ “ข้าวเม่าแม่วิลัย” พร้อมสโลแกน ข้าวเม่าอัพเกรด หอม หวาน อร่อย สดใหม่ทุกวัน

โดยการผลิตข้าวเม่าเป็นการผลิตในรูปแบบของการรวมกลุ่มที่มีคนในหมู่บ้านมาช่วยกันทำประมาณ 5-6 คน ในแต่ละวันจะมีออร์เดอร์สั่งเข้ามาเฉลี่ยประมาณ 40-50 กิโลกรัม ใน 1 ปี จะมีฤดูกาลผลิต และการขายเพียง 2 เดือน คือจะเริ่มขายตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน-ตุลาคม เท่านั้น หลังจากนี้ก็จะใช้เวลาในการทำงานในส่วนอื่นๆ คือการกรีดยาง เลี้ยงวัว และปลูกมันสำปะหลัง การทำข้าวเม่าถือเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้เป็นอย่างดี และมีการจัดสรรรายได้เฉลี่ยต่อคนจะมีรายได้ประมาณ 1,500-2,000 บาทต่อวัน หรือคิดเป็นรายได้รวมก็ได้ถึงหลักหมื่นต่อวัน

มีการจำหน่ายอยู่ 2 ขนาดด้วยกันคือ 1. บรรจุใส่ถุงละ 1 กิโลกรัม จำหน่ายในราคา 200 บาท 2. บรรจุใส่ถุงละครึ่งกิโลกรัม จำหน่ายในราคา 100 บาท ถือเป็นราคาที่ไม่แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ผู้บริโภคจะได้รับ ซึ่งก่อนที่จะมีการพัฒนาแพ็กเกจจิ้ง พ่อกับแม่ขายได้ในราคากิโลกรัมละ 150 บาท แต่พอมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายก็สามารถเพิ่มมูลค่า และรายได้เพิ่มขึ้นมาจากเมื่อก่อนไม่น้อย โดยมีฐานลูกค้าเดิมในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงที่ซื้อไปกินเองและซื้อไปเป็นของฝาก รวมถึงการขยายทำตลาดออนไลน์ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ทำให้คนภายนอกได้รู้จักข้าวเม่าแบรนด์แม่วิลัยเป็นวงกว้างมากขึ้น

อาชีพเกษตรวางแผนดี สร้างอนาคตที่มั่นคงได้
“ในมุมมองของผมอาชีพเกษตรยังถือเป็นอาชีพที่มั่นคงอยู่ เพียงแต่ว่าต้องมีการวางแผนก่อนลงมือทำสักหน่อย เพราะอย่างการทำเกษตรของผม ผมเลือกที่จะทำเกษตรผสมผสาน ทำหลายๆ อย่างรวมถึงการรู้จักแปรรูปผลผลิตที่ตนเองมีอยู่ เพื่อเป็นทางรอดในยามที่สินค้าล้นตลาดหรือราคาตกต่ำ ประกอบกับมีแนวคิดที่อยากเป็นผู้ที่กำหนดราคาสินค้าเองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมากดราคา หรือกำหนดราคาให้เรา เพราะของเราเราปลูกเองทำเอง เราย่อมรู้ถึงกระบวนการผลิต และจุดเด่นของสินค้าเราดีที่สุด ไม่เพียงเฉพาะต้องเป็นข้าวเม่า แต่รวมไปถึงพืชผลทางการเกษตรชนิดอื่นๆ การแปรรูปข้าวเม่าถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางเสริมรายได้ ซึ่งหลังจากหมดฤดูกาลของการทำข้าวเม่า ผมก็มีหน้าที่กรีดยางที่ปลูกไว้อยู่ประมาณ 400-500 ต้น ก็มีรายได้จากการกรีดยางตรงนี้ประมาณเดือนละ 6,000-7,000 บาท และการปลูกมันสำปะหลังที่มีรายได้เป็นเงินเก็บรายปี รวมถึงการซื้อ-ขายวัว ซึ่งที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่ทำการเกษตรที่มากมาย แต่ขอแค่เพียงรู้จักวางแผนการปลูกพืช หรือหาวิธีการสร้างรายได้ อาชีพเกษตรที่ไม่เพียงแต่จะให้ความมั่นคงกับเรา แต่จะให้ความสุขและให้อิสระกับเราด้วย” คุณบี้ กล่าวทิ้งท้าย

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจสั่งซื้อข้าวเม่าแม่วิลัย สามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทร. 090-969-9617