แกงคั่วหอยแครงใบชะพลู

ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์ พื้นฐานของการมีชีวิตนั้นไม่แตกต่างกันเลย การดำรงอยู่นั้นประกอบด้วย กิน อยู่ หลับนอน และการสืบพันธุ์ เมื่อถึงเวลาก็ต้องตาย ต้องพรากจากโลกนี้ไปทั้งสิ้น ไม่เว้นว่าจะเป็นสัตว์ไหน หรือมนุษย์คนใด

แต่มนุษย์ต่างหากเล่า ที่ต่างปรุงแต่งต่อเติมเสริมรสให้ความเป็นอยู่เหนือสัตว์ ทั้งการ กิน อยู่ หลับนอน แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ

โดยเฉพาะการกิน มนุษย์นั้นกินได้แทบทุกอย่าง ในบางพื้นถิ่นยังกินอย่างพิสดารพันลึก แถมปรุงแต่งอาหารทั้งรสทั้งกลิ่นไปตามความนิยมชมชอบของตัวเองและตามวัฒนธรรมของพื้นถิ่นนั้นๆ

แฮ่…ไปซะไกล จริงๆ แล้ว แค่อยากบอกเรื่องของตัวเองเท่าน้านนน…

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ในขณะหนึ่งของวันหนึ่งนั้น ขับรถจะไปทำธุระ อยู่ดีๆ มีกลิ่นแกงที่คุ้นชินลอยเข้ามาเตะจมูก ทั้งๆ ที่บนสถานย่านนั้นก็ไม่มีร้านขายข้าวแกงแม้สักร้านเดียว

แล้วกลิ่นแกงนั้นลอยมาจากไหน

ขับรถไปนั่งครุ่นคิดไป ว่ากลิ่นแกงที่ลอยเข้ามาเป็นแกงอะไร แต่ในความรู้สึก กลิ่นแกงนั้นทำให้เกิดการหิวข้าวและความอยากกินแกงนั้นขึ้นมาทันใด คิดๆ ไป กลิ่นแกงนั้นเป็นกลิ่นแกงหอยกับใบชะพลูที่แม่เคยทำ

นึกย้อนกลับไป หอยที่แม่เอามาแกงนั้น เป็นหอยจุ๊บ คนแถวบ้านเรียกว่าหอยโล้

ยังจำได้ว่าสมัยตอนเป็นเด็ก ที่บ้านจะมีลำคลองน้ำใสๆ มองเห็นท้องทรายและก้อนหินใหญ่น้อย ไหลผ่านสวน ในลำคลองนั้นจะมี กุ้ง หอย ปู ปลา จำนวนมาก โดยเฉพาะหอยโล้นั้นมีอยู่มากมาย หอยโล้ หรือหอยจุ๊บ

สมัยนั้นไม่มีการฉีดยาฆ่าแมลงตามสวนเหมือนสมัยนี้ จึงไม่มียาฆ่าแมลง ที่ทำให้เล็ดลอดซึมลงในลำคลอง ลำห้วย น้ำก็ใสสามารถดื่มกินได้ สัตว์น้ำที่ชาวบ้านเก็บหามากินจึงปลอดภัย มาถึงยุคสมัยนี้น้ำนั้นแห้งขอดลำคลอง ตามแอ่งวัง ที่เคยดำผุด ดำว่าย บางแห่งกลายเป็นแอ่งทราย พวก กุ้ง หอย ปู ปลา จึงมีน้อย อย่าว่าแต่จะหามากินเลย แม้จะเห็นก็แทบไม่มีให้เห็น

คิดๆ ไป อนาถใจแท้

หอยโล้หรือหอยจุ๊บ จะมีตัวคล้ายๆ หอยขม แต่จะยาวกว่า เมื่อได้มาแล้วก็จะใช้มีดสับส่วนท้ายของหอย เพื่อแกงเสร็จจะสะดวกในเวลาที่จะจุ๊บหรือดูดเนื้อหอยเข้าปาก

แกงหอยโล้กับใบชะพลูของแม่นั้นจะมีความเข้มข้นของกะทิสด ทั้งเผ็ดร้อน และจะมีหวานนำ แต่ถึงจะนึกอยากกินอย่างไร จะไปหาหอยโล้มาจากที่ไหนเล่า

นึกขึ้นมาได้ว่า ไม่มีหอยโล้ ก็ต้องหอยแครงสิ คิดได้ดังนั้นจึงขับรถแวะจอด แล้วเดินเข้าตลาดหาซื้อหอยแครงตัวงามๆ สักสองกิโล แต่หอยแครงที่เห็น มีแต่ตัวเล็กๆ แถมยังแพงด้วย ถามแม่ค้า แม่ค้าบอกกิโลละ 120 โหย…มันแพงเกินไป ถ้าหอยตัวใหญ่ๆ ว่าไปอย่าง จึงเที่ยวเดินกินลมชมตลาดดูโน่นดูนี่ ได้ใบชะพลูมา 2 กำ ใหญ่ๆ ในราคา 10 บาท ถูก มันถูกมาก แล้วก็ซื้อมะพร้าวขูด 1 กิโล ที่ไม่ซื้อน้ำกะทิสำเร็จรูปเพราะนำมาแกงแล้วไม่หวานไม่สดเท่าที่เราคั้นเองกับมือ ถ้าให้ดี ต้องใช้มะพร้าวทั้งลูก ที่ทึนทึก นำมาปอกเปลือกขูดเอง คั้นเอง ก็จะได้รสกะทิที่ทั้งหวานทั้งมัน

ไม่ได้หอยแครงจากตลาดสด ก็ต้องแวะแม็คโคร ในแม็คโครมีอาหารที่พร้อมปรุงมากมาย หอยแครงที่ลวกแกะเปลือกแล้วแช่แข็งอยู่ พร้อมให้นำไปปรุงได้เลย ไม่ต้องมานั่งลวกแล้วแกะหอยให้เสียเวลา จึงได้เนื้อหอยแครงพร้อมปรุงมา 1 กิโล

หอยพร้อม ใบชะพลูพร้อม เนื้อมะพร้าวขูดพร้อม ทีนี้ก็พริกแกง พริกแกงคั่วจากปักษ์ใต้ ทั้งสดใหม่ที่หลานส่งมาให้ ก็พร้อมอยู่ในตู้เย็น พริกแกงคั่วที่ได้มานั้นอาจจะไม่เข้มข้นเท่ารสที่เคยกิน จึงหั่นตะไคร้ ผิวมะกรูด ขมิ้น ข่า และพริกไทย ถ้าต้องการเผ็ดเพิ่ม ใช้พริกแห้งสักสี่ห้าเม็ด ลงใส่ครกแล้วตำๆ ตำจนละเอียด นำพริกแกง น้ำตาลปี๊บ และกะปิ ที่ส่งตรงจากใต้ลงใส่ครกแล้วตำคลุกให้เป็นเนื้อเดียวกัน ตักใส่ถ้วยวางไว้

ต้มน้ำพออุ่นแล้วเทลงในกะละมังพร้อมมะพร้าวขูดที่เตรียมไว้ ใช้มือบีบ แล้วคั้นให้ได้กะทิขาวข้น สดๆ มันๆ การคั้นกะทิ ต้องแยกออกเป็น 2 น้ำ น้ำหนึ่งเป็นหัวกะทิ น้ำสองเป็นหางกะทิ

เมื่อได้น้ำกะทิแล้ว หัวกะทิที่คั้นไว้เทลงหม้อตั้งไฟ พริกแกงใส่คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้พอเดือด ตามด้วยเนื้อหอยแครง คนให้น้ำแกงเข้าในเนื้อหอย เติมหางกะทิปล่อยให้เดือด ใส่ใบชะพลูที่หั่นฝอยแล้ว ทิ้งบนไฟให้ใบชะพลูสุก ช่วงนี้ลองตักชิมดู ขาดเค็มเติมเกลือ ขาดหวานเติมน้ำตาล

เท่านี้ก็จะได้แกงหอยกับใบชะพลูอร่อยๆ ได้แล้ว

แกงหอยแครงกับใบชะพลูในวันนั้น พอทำให้ความคิดถึงแกงหอยโล้กับใบชะพลูของแม่ รสชาติไม่แตกต่างกัน ขาดแต่แม่ที่ไม่มาร่วมวงกินข้าวด้วยกันเท่านั้นเอง