วิถีชาวบ้าน : เริ่มต้นคล้าย ตอนปลายต่าง

เรื่องราวชีวิตของคนสองคน ที่เริ่มต้นคล้ายๆ กัน พื้นฐานชีวิตเหมือนๆ กัน แต่ความฝันแตกต่างกัน ทำให้บั้นปลายของทั้งสองชีวิต ต้องแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในตำบลหนึ่ง ที่ห่างไกลความเจริญ ในตอนหน้าฝน พวกเด็กๆ จับกลุ่มกันเดินไปโรงเรียน บนถนนลูกรัง ที่เป็นหลุมเป็นบ่อ บางช่วงมีน้ำขัง มีโคลนตม หลายคนเดินเท้าเปล่า บางคนฐานะดีหน่อยมีรองเท้าสวม แต่บนถนนที่เป็นอย่างนี้ จึงผูกแล้วแขวนไว้ที่คอ เมื่อถึงโรงเรียนถึงจะได้ใส่

ในกลุ่มเด็กเหล่านั้น มีสองคนที่สนิทกันเป็นพิเศษ ด้วยทั้งเป็นเพื่อนและเป็นญาติ คนหนึ่งชื่อ นิพนธ์ วิคะบำเพิง หรือเพื่อนๆ เรียกว่า เอียดนุ้ย กับอีกคน แต่อย่าไปเอ่ยชื่อของเลย

ตอนนั้นในสมองของเด็กสองคนนี้ ไม่เคยคิดถึงเรื่องอนาคต มีหน้าที่เรียนก็เรียนไปวันๆ เพียงแต่คิดว่าวันนี้จะทำอะไรให้สนุก จะเล่นอะไรกัน แม้บางครั้งเล่นพิเรน ขโมยผลไม้ของสวนอื่น ทั้งๆ ที่สวนของครอบครัวตัวเองก็มี

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปขโมยส้มจากสวนของลุงคนหนึ่ง ที่สวนนั้น ลุงเขาจะแขวนโจเอาไว้

โจ ทำจากกระบอกไม้ไผ่ ที่เหลาเปลือกผิวออก แล้วทำให้เป็นสี่เหลี่ยม บ้างก็ไม่เหลา เปิดรูไว้ข้างบน ข้างในจะใส่หมากพลู และจะมีผ้าขาวลงอักขระรูปยันต์ผูกปิดไว้ด้วยด้ายสีแดง เจาะรูเพื่อร้อยเชือก แล้วจะแขวนไว้บนกิ่งไม้ ในสวนผลไม้นั้นๆ

โจ เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ของคนภาคใต้ ทำขึ้นเพื่อป้องกันขโมย เชื่อกันว่า ใครที่มาขโมยผลไม้จากสวนนี้ไปกิน ตัวจะซีด ท้องจะป่อง

เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งชื่อชาติ ตัวเขาจะผอมๆ ซีดๆ แล้วที่ท้องจะป่องออกมา เปิดเสื้อดู ท้องของเขาจะใสเลยทีเดียว

พูดกันในกลุ่มเพื่อนๆ กันว่า เพราะชาติไปขโมยส้มจากสวนนั้นแน่ๆ ท้องจึงป่อง ในตอนนั้นแม้จะด้วยความคึกคะนอง แต่เมื่อกินส้มนั้นเข้าไปก็เกิดความกลัว ว่าจะเป็นเหมือนกับชาติ

อย่างไรก็ตามนิพนธ์ กับเพื่อนคนนั้นก็เรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่เจ็ด

ต่างคนต่างไปเรียนต่อในตัวจังหวัด แต่คราวนี้ต้องแยกกันเรียน เพื่อนของนิพนธ์สอบได้ที่โรงเรียนประจำจังหวัด แต่นิพนธ์เรียนที่โรงเรียนเอกชน แต่ทั้งสองก็ไม่ห่างหายไปจากกัน เพราะต้องอาศัยวัดเดียวกัน นอนในกุฏิเดียวกัน

เมื่อพูดถึงเด็กวัด หลายคนคงจะนึกถึงภาพ เด็กผู้ชาย หิ้วปิ่นโตตามหลังพระตอนบิณฑบาตในตอนเช้าๆ  คอยเปิดปิ่นโตรับอาหารจำพวกแกงหรือผัด หรือคอยรับดอกไม้จากพระหลังจากที่คนถวาย แต่นิพนธ์กับเพื่อนไม่เป็นเช่นนั้น เพราะต้องเข้าเรียนแต่เจ็ดโมงเช้า พระยังไม่ทันฉัน จึงไม่ได้ถือปิ่นโตตามหลังพระ แต่ก็มีบางครั้ง ในวันหยุด ที่ต้องหิ้วปิ่นโตสะพายย่ามตามหลังพระในยามที่พระอาจารย์เรียกใช้

ชีวิตช่วงวัยนี้ ซึ่งเป็นวัยรุ่น นิพนธ์และเพื่อนต่างมีเพื่อนใหม่มากมาย บางคนเกเรขนาดที่ว่าเสพยาเสพติด แต่นิพนธ์กับเพื่อนไม่เคยข้องแวะยาเสพติดเหล่านั้น อาจจะมีบ้างที่สูบบุหรี่และเหล้า แต่ไม่ถึงกับให้นิพนธ์และเพื่อนต้องเสียผู้เสียคน

หลังจากจบมัธยมศึกษาตอนปลาย นิพนธ์สอบเข้าวิทยาลัยครูในสมัยนั้น เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏแล้ว วิทยาลัยครูที่นิพนธ์เข้าเรียน เป็นวิทยาลัยครูของอีกจังหวัดหนึ่ง ส่วนเพื่อนของนิพนธ์ เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่นั้นทำให้ทั้งสองต้องห่างกัน

เพื่อนของนิพนธ์เรียนจบทำงานในกรุงเทพฯ ใช้ชีวิตเป็นคนกรุง

นิพนธ์หลังจากเรียนจบ ปกศ.สูง ก็ไม่ได้เรียนต่อ กลับบ้านที่อยู่ในครั้งที่เป็นเด็ก ใช้ชีวิตธรรมดา ทำสวนเป็นเกษตรกร ปลูกยางพารา ปลูกทุเรียน ปลูกมังคุด เพิ่มเติมจากที่ ที่พ่อแม่แบ่งให้ หลังจากนั้น นิพนธ์ก็แต่งงานมีครอบครัว สร้างฐานะ จากเกษตรกรธรรมดาๆ จนกลายเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในหมู่บ้าน ด้วยน้ำพักนำแรงที่เขาลงทุน จนปัจจุบันอายุของนิพนธ์และเพื่อนต่างล่วงเลย

นิพนธ์มีสวนผลไม้ มีสวนยาง ที่เลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ไปอีกนาน

เพื่อนของนิพนธ์ กลับบ้าน ไม่มีแม้กระทั่งบ้าน