ชีวิตเหยิมเหยิม (ตอนที่ 2) เรื่องกล้วยๆ และความแก่

เมื่อก่อนกล้วยน้ำว้าเป็นกล้วยที่ราคาถูกมาก เรียกว่าไม่มีราคา แต่มีค่า มีค่าที่เป็นอาหารของเด็ก กล้วยน้ำว้างอมๆ ขูดๆ ให้กินเป็นอาหาร เริ่มจากกินนมแม่แล้วก็กินกล้วยน้ำว้าขูด แต่เดี๋ยวนี้กล้วยน้ำว้าเริ่มมีราคาและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ที่นี่มีกล้วยน้ำว้าจำนวนมาก ไม่มีกล้วยอย่างอื่นเลย มันถูกปลูกไว้ก่อนแล้วโดยใครที่เราไม่รู้ นับว่าได้กินผลทันทีที่เข้ามาอยู่ มีแม่ค้าขายขนมจ๊อก ข้าวต้มมัดที่ตลาดนัดวันศุกร์มาซื้อใบกล้วยไปทำขนม เขามาตัดเอง

ไม่ใช่แค่กินและขาย แต่แค่มีกล้วยก็ได้ทำบุญแล้ววันพระใหญ่ออกพรรษาที่ผ่านมา มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาบอกว่า

“วันพระใหญ่ขอใบตองทำขนมไปวัดสักหน่อย”

“ได้เลยค่ะ ได้เลย ตัดเอาตามสบาย วันพระใหญ่วันออกพรรษาใช่ไหม”

“ใช่ พรุ่งนี้วันดา”

วันดา หมายถึงวันเตรียมของสำหรับทำบุญนั่นเอง คิดในใจยิ้มๆ ว่า ไม่ได้ไปวัดแต่ให้ใบตองเขาไปทำขนมไปวัดก็เป็นสิ่งดีๆ หรือไม่ก็ได้บุญไปด้วย แอบสาธุในใจ

อ่านมาถึงตรงนี้อย่าเพิ่งยิ้มขำ ฉันก็เป็นคนทำบุญเหมือนกัน แต่ไม่นิยมทำบุญวันพระใหญ่หรือวันที่มีประเพณีพิธีกรรมที่มีคนไปทำกันเยอะๆ นิยมทำในวันธรรมดาที่ไม่ค่อยมีใครมากนัก นี่เป็นความคิดความชอบส่วนตัวเท่านั้น หรือเรียกว่าตามสะดวกเอาแบบไหนก็ได้ วันนี้ส่งใบกล้วยไปก่อน

ครั้งหนึ่งมีน้องกะเหรี่ยงโปว์มาทำงานที่ร้านอาหารที่เจ้าของร้านจะปลูกกล้วย เมื่อขุดหลุมเสร็จเขาบอกว่า ปลูกกล้วยมีเคล็ดลับต้องหันหลังเอาต้นกล้วยลงหลุมจะทำให้ลูกดก ลูกโต ความเชื่อและศรัทธาเป็นสิ่งที่ต้องเคารพกันเมื่อให้น้องเขาปลูกก็ต้องเชื่อตามเขา หันหลังเอาต้นกล้วยวาง แต่ตอนกลบดินก็ต้องหันหน้ามากลบดิน

เมื่อตัดกล้วยแล้วเอาหน่อที่อยู่ข้างต้นแม่ไปปลูกที่ใกล้ๆ จะได้กล้วยดก สวย แต่ถ้าไว้กับต้นลูกจะเล็กลง เขาบอกมาอย่างนั้น เมื่อเริ่มเอาหน่อแยกไปปลูกก็คิดถึงน้องกะเหรี่ยงขึ้นมาลองทำตามหันหลังเอาหน่อกล้วยลง ลองดูสักสามต้นว่ามันจะออกลูกดีไหม แต่ที่ได้แน่คือความรู้สึกรื่นรมย์และยิ้มขำให้ตัวเองเมื่อคิดถึงหน้าน้องคนนั้นที่แนะนำการปลูกกล้วยตามแบบบ้านเขา เอ…หรือว่าเราโดนหลอก ช่างเถอะเอาขำขำ

สวนเหยิมเหยิมของเรามีกล้วยมากพอที่จะแบ่งปันให้เพื่อนๆ ญาติๆ เอาไปกิน แต่อย่างไรก็ยังไม่หมด จึงคิดจะแปรรูปกล้วย นอกจากกล้วยตากแล้ว เราน่าจะทำอย่างอื่นได้อีก เพื่อนรุ่นน้องบอกว่า แม่เธอทำกล้วยฉาบอร่อยมาก ว่าแล้วก็ชวนแม่เธอมาเที่ยวสวนในอาทิตย์ต่อมา

พร้อมกับเตรียมการทำกล้วยฉาบกัน

เตรียมของพร้อมตามที่แม่มณีต้องการ

– มีน้ำตาลมะพร้าว

– เนย

– เกลือ

– น้ำมันสำหรับทอด

เริ่มแรกเอากล้วยแก่มา แม่มณี บอกว่า กล้วยต้องตัดไว้สักสองวัน ถ้าตัดแล้วทำเลยยางมันจะเยอะ กล้วยที่ตัดต้องแก่ได้ที่คือลบเหลี่ยมแล้ว ถ้าลูกกล้วยยังมีเหลี่ยมแสดงว่ายังไม่แก่เต็มที่ ถ้าเอากล้วยแก่ไม่เต็มที่มาทำกล้วยฉาบจะทำให้ฝาด ไม่อร่อย

“ปอกกล้วยแก่ ต้องเอามีดกรีดเป็นพูๆ ให้พอดีอย่าให้บาดเนื้อกล้วย ปอกกล้วยแล้วก็เอามาสไลด์บางๆ แล้วกระจายผึ่งไว้สักครู่”

เอาเนยกับน้ำตาลมะพร้าวและเกลือนิดหนึ่งมาคนเข้าด้วยกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน

คราวนี้ตั้งน้ำมันให้เดือดแล้วเอากล้วยลงทอด ในระหว่างนั้นคนตลอดอย่าหยุดมือ เนยน้ำตาลที่คนจนได้ที่แล้ว ตักใส่ช้อนพูนๆ ช้อนหนึ่งแล้วก็คนต่อไปอย่าหยุดคนจนกล้วยเป็นน้ำตาลเป็นอันว่าใช้ได้ ตักให้สะเด็ดน้ำมัน วางในถาดเกลี่ยๆ อย่าให้มันเกาะกัน พอเย็นแล้วใส่โหลเก็บจะได้กรอบนานเป็นครึ่งเดือน หรือแพ็กใส่ถุงไปขาย

“กล้วยครึ่งกิโล น้ำตาลกับเนยหนึ่งช้อนคนให้เข้ากัน”

จดสูตรแม่มณีไว้อย่างละเอียด และลองทำให้แกดูทุกขั้นตอนตั้งแต่ปอก สไลด์กล้วย

ธรรมดาแม่มณีจะทำให้ลูกสาวไปขายที่โรงเรียนที่เธอทำงานอยู่ซึ่งขายดีมาก ผู้ปกครองซื้อให้ลูกหลานกินแทนขนมซอง

“มีปัญหานิดหน่อยนะแม่มณี” ฉันบอกในขณะชิมไปหลายสิบชิ้น

“เป็นอย่างไรเหรอ” แม่มณีทำหน้างง

“ปัญหาตรงที่กินแล้วหยุดไม่ได้”

แม่มณียิ้ม

ใช่จริงๆ หวาน หอม กรอบ กินเพลินจริงๆ ฝึกทำกล้วยทอดกับแม่มณีไปสามกระทะหมดกล้วยไปหนึ่งเครือได้กล้วยทอดสองกล่อง เก็บไว้ให้เพื่อนๆ กิน ชิมรสชาติ

ต่อมาทำใหม่ตามแบบแม่มณี แบบหวาน หอม และทดลองอีกแบบคือไม่ใส่เนย น้ำตาล เอาแต่กล้วยเฉยๆ เรียกว่ารสชาติธรรมดาสำหรับผู้ที่ไม่ชอบหวาน หรือไม่กินหวาน ไว้กินกับกาแฟยามเช้า และเอาใส่ถุงขายดู เริ่มจากขายเพื่อนๆ ที่แวะเวียนมาเที่ยว ฝากขายร้านของชำบ้าง

ตอนนี้กล้วยฉาบเหยิมเหยิม กำลังพัฒนาออกสู่ตลาด มีแบบหวาน แบบจืดสนิท คือไม่ใส่อะไรเลยกล้วยอย่างเดียว และแบบเค็มนิดหน่อย คือพอทอดเสร็จโรยเกลือเล็กน้อยให้เค็มๆ กล้วยทอดเหยิมเหยิมมีสามรสชาติ

“ขอบคุณคนอยู่ก่อนที่ปลูกกล้วยไว้ให้” ฉันคุยกับเพื่อนในวันหนึ่งขณะที่นั่งกินกล้วยฉาบ เพื่อนบอกว่ากินกล้วยฉาบและคุยกันวันนี้ทำให้เธอเปลี่ยนความคิดเรื่องการปลูกต้นไม้ได้เลย เพราะเมื่อเธอจะปลูกต้นไม้เธอจะคิดก่อนว่าจะปลูกต้นอะไรที่ออกดอกออกผลได้ก่อนห้าปี เธอกลัวว่าจะไม่ทันดอกผลนั้น เพราะคิดว่าตัวเองอยู่ได้ไม่นานไม่เกินห้าปี สิบปีก็ตายแล้ว แต่มาวันนี้คิดว่า ปลูกไว้ให้คนอื่นกินก็ได้นะ

“ไม่เป็นไร เราก็คิดแบบนี้เพิ่งมาเปลี่ยนวิธีคิดเหมือนกัน” บอกเพื่อนและเล่าให้เพื่อนฟังว่า วันก่อนกลุ่มคนหนุ่มสาวในเมืองเชียงใหม่ เขาปลูกต้นตาล ต้นลาน ต้นหมาก ในพื้นที่สาธารณะของเมือง ถามพี่นักแปลคนหนึ่งว่า ตาลนี้เมื่อไหร่จะโต เขาบอกว่าปีหนึ่งจะโตสักคืบ เราคงไม่ได้ดูหรอกให้คนรุ่นต่อไป ก็ไม่เป็นไรต้นตาล ต้นลาน ที่เรามองเห็นว่างามนักนั่นเราก็ไม่ได้ปลูกเอง รวมทั้งต้นไม้อื่นๆ ด้วย คนปลูกไว้บ้าง นกกามาช่วยปลูกบ้าง

“ฟังแล้วก็สบายใจ” เพื่อนบอกพลางเคี้ยวกล้วยฉาบต่อ

“สวนเหยิมเหยิมนี้ เราก็เช่าอยู่ หลายคนพูดว่า ทำไปปลูกไปก็เป็นของคนอื่นไม่ใช่ของเราอยู่ดี ต้นไม้พอโตก็หมดสัญญาเช่า บางคนมีเวลาและเขาพร้อมฟัง เราก็อธิบายแต่บางคนดูเขาไม่พร้อมจะฟังแค่อยากแสดงความรู้สึกตามความเชื่อหนักแน่นก็ไม่ได้พูดตอบ ความจริงมันก็ไม่มีอะไรมั่นคงหรือไม่มั่นคงหรอก มันอยู่ที่วิธีคิด”

“ตามหลักธรรม” เพื่อนว่า

“ตามหลักธรรมชาตินะ ถ้าเรารู้สึกมั่นคงเราก็สบายใจ แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกหวั่นไหวกลัวโน่นนี่เราก็ไม่มั่นคงและเราก็เริ่มอยู่แบบไม่มีความสุข ไม่สบายใจ ตัวอย่างของตัวเองเมื่อก่อนเรามีคู่เราก็คิดว่าเรามีความมั่นคง เราไปสร้างบ้านอยู่ในครอบครัวเขา เรายิ่งรู้สึกมั่นคงเพิ่มขึ้นอีกมีบ้านมีครอบครัว แต่แล้ววันหนึ่งเขาตายจากไป ในเวลานั่นเรารู้สึกมั่นคงไหม ไม่มีแล้วความมั่นคงที่ว่า ดังนั้นไม่มีหรอกความมั่นคง ยิ่งเราเห็นของรักของเขามากมายถูกทิ้งไว้ ยิ่งรู้สึกเลยว่า ไม่มีอะไรหรอกที่มั่นคง ไม่มีอะไรสักอย่าง งานที่รักที่ทำยังทำไม่เสร็จก็ยังกองอยู่ ของรักของหวงก็ถูกเปลี่ยนมือไปหรือถูกทิ้งในเวลาต่อมา ไม่มีอะไรมั่นคงจริง”

“อือ ก็จริง” เพื่อนรุ่นน้องพยักหน้า

“หรือจะคิดว่าทุกอย่างเป็นความมั่นคงก็ได้ มั่นคงในเวลานี้ เวลาที่เราอยู่นี้แหละ กับสิ่งที่เราทำ อย่างตอนนี้ทำกล้วยทอด กล้วยฉาบ ก็รู้สึกมั่นคงกับมัน ทำกล้วยทอดให้อร่อย เพราะเรามีกล้วยเป็นความมั่นคง”

“ต้องเจออะไรๆ หนักๆ ถึงคิดแบบนี้ได้” เธอว่า

“บางทีก็ต้องขอบคุณความแก่ ถ้าไม่ได้อยู่จนแก่ขนาดนี้ก็จะรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ ตอนเด็กๆ ก็เคยได้ยินคนอื่นพูด แต่ก็เฉยๆ อย่างนี้ต้องขอบคุณความแก่”

ขอบคุณเรื่องกล้วยๆ และความแก่