มะม่วงหิมพานต์ สรรพคุณเป็นยา ใช้บด พอกแก้โรคผิวหนัง แผลน้ำร้อนลวก แผลไฟไหม้ สูดดมควัน แก้โรคไอ และเจ็บคอ

หากติดตามข่าวสารก็จะรู้ว่า เวลานี้อุบัติเหตุจากท้องถนนจะเกิดขึ้นบ่อยมาก

และการที่กรุงเทพฯ ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีรถติดมากเป็นอันดับ 1 จึงไม่แปลกใจ

ในขณะที่เมืองนอกเมืองนาลดการใช้รถ หันมาใช้จักรยาน และก็ทำได้ด้วย

เรื่องรถติดนี่ เคยได้สนทนากับพระคุณเจ้าที่วัด ท่านให้ความเห็นว่า เรื่องรถติดต้องแก้ที่คน

โดยเฉพาะเรื่องของความอยากได้ และอยากขาย

ถ้าลดความอยากทั้งสองได้ กรุงเทพฯ รถจะไม่ติด

แล้วรัฐก็ต้องให้การบริการสาธารณะที่ดี

เพราะทุกวันนี้ รัฐมีแต่ส่งเสริมให้ผู้คนอยากมีอยากขายกันเกือบจะทุกเรื่อง

เมื่อกระตุ้นความอยาก ปัญหาต่างต่างก็จะตามมาเป็นขบวนให้รัฐต้องแก้

ซึ่งเหมือนกับว่า รัฐกระตุ้นด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว จนทำให้ผู้คนขาดจิตสำนึกที่ดีต่อส่วนรวม

นอกจากรัฐจะต่อต้านเรื่องโกงกินแล้ว เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องการปลูกต้นไม้ รัฐก็ควรจะกระตุ้นด้วย

ปักษ์นี้จะชวนปลูกต้นไม้ที่มีผลกินได้ และมีคุณค่าทางสมุนไพรอย่างมาก

ต้นไม้ที่ว่าคือ ต้น “มะม่วงหิมพานต์”

มะม่วงหิมพานต์ ทางวิชาการจัดอยู่ในพันธุ์ไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีความสูงโดยเฉลี่ย 10 เมตร

มีใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน รูปใบรูปไข่ ปลายใบมน โคนใบแหลม เนื้อใบหนาคล้ายใบลั่นทม

เมื่อมีดอกจะออกเป็นช่อกระจาย แรกออกจะสีขาว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู มีเกสรอยู่หลายอัน

พอดอกเริ่มจะโรยจะติดผล ลักษณะผลคล้ายผลชมพู่

ผลที่ยังอ่อนจะมีสีเหลืองอมชมพู เมื่อผลสุกจะเป็นสีแดงสด ปลายผลจะมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด รูปคล้ายไต เปลือกนอกแข็ง สีน้ำตาลอมเทา

คนแต่โบราณรู้จักนำเอาใบ ยางจากผล ผล เมล็ด และยางลำต้น มาใช้ประโยชน์ทางยาสมุนไพร

สรรพคุณของใบ ใช้ใบสดมาบด พอกแก้โรคผิวหนัง แผลน้ำร้อนลวก แผลไฟไหม้

หากนำใบสดมาเผาไฟ สูดดมควัน แก้โรคไอ และเจ็บคอ

สรรพคุณยางจากผล ใช้กัดหูด กัดตาปลา แก้โรคเท้าช้าง

สรรพคุณจากผล เป็นยาแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้แผลในปาก และแก้อาเจียน

สรรพคุณของเมล็ด ใช้กินสด หรือคั่วเกลือ แก้โรคบวมน้ำ ขับปัสสาวะ

หากนำเมล็ดมาสกัดเอาน้ำมัน ใช้ทาแก้กลาก เกลื้อน แก้โรคเรื้อน และโรคผิวหนังอื่นอื่น

ทั้งนี้คือภูมิปัญญาของคนโบราณที่ได้ศึกษาไว้

มาช่วยกันคนละต้นสองต้น ไม่ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะ

เงินก็ไม่เสีย กินเป็นอาหารได้อีก