ที่มา | เขียว สวย หอม กินได้ |
---|---|
ผู้เขียน | แพรจารุ ทองเกลี้ยง |
เผยแพร่ |
สมัยเมื่อครั้งวัยเยาว์ เด็กๆ ไปเฝ้าทุเรียนกัน เพราะทุเรียนสมัยก่อนนั้นต้องรอให้หล่นลงมาเท่านั้น พอเสียงทุเรียนหล่นก็ต้องวิ่งไปเก็บมา ทุเรียนต้นสูง ขึ้นไปเอาลงมาไม่ได้หรอก นอกจากรอให้มันสุกหล่นลงมา ลูกเล็ก และเนื้อน้อย เนื้อบาง เม็ดใหญ่ มีความหวานมากกว่ามัน เรียกว่าอร่อยหอมหวาน
จำไม่ได้ว่าทุเรียนต้นเตี้ยๆ เนื้อหนาๆ มันเกิดขึ้นเมื่อไร แรกเราเรียกว่า ทุเรียนพันธุ์ หรือ เรียนพันธุ์ ยังไม่ระบุว่าพันธุ์อะไร เรียกรวมๆ ว่าเรียนพันธุ์ ต้นเตี้ย ลูกใหญ่ เนื้อหนา มีความมันมากกว่าความหวาน ปลูกต้องใช้ปุ๋ย ต่อมาปลูกต้องใช้ยา หลังจากนั้นเรียนบ้านก็ค่อยๆ ลดลงและหายไป มีแต่ความหลังให้คิดถึงพร้อมกับเรื่องราววัยเยาว์
เมื่อวานไปเที่ยวสวนทุเรียนพี่สาว เธอทำสวนทุเรียนจริงจัง น่าจะประมาณสิบปี ในช่วงห้าปีแรกนั้นทำแบบใช้ปุ๋ย ใช้สารเคมีครบสูตร ฉันไม่กินทุเรียนที่สวนของเธอหรือสวนไหนๆ และพยายามพูดถึงผลเสียของยาแต่ไม่ได้ผล เธอก็ทำของเธอไป
ฉันไม่รู้ว่าจุดเปลี่ยนอยู่ตรงไหน แต่ได้ยินมาว่าคนงานในไร่ของเธอป่วย และกลับบ้าน เขาป่วยไม่ใช่เพราะรับจ้างฉีดยาในสวนทุเรียนเท่านั้น แต่ป่วยจากการดื่มหนักด้วย เมื่อเขากลับบ้านเจ้าของสวนก็เลยเปลี่ยนการทำสวนใหม่แบบหันมาใช้ระบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งแรกๆ ก็ไม่สมบูรณ์นัก
เมื่อสี่ปีที่ผ่านมา เธอตัดสินใจยกเลิกการใช้ปุ๋ยเคมีและยาทุกชนิดกับทุเรียน ทำแบบวิถีธรรมชาติอย่างจริงจัง ค้นคว้าทำน้ำหมักบำรุงต้นบำรุงดอกผล
เมื่อวานนี้ในขณะที่นั่งกินทุเรียนเธอเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนใช้ยา ใช้ปุ๋ย ขายทุเรียนครั้งหนึ่งได้เป็นล้าน เห็นเงินก้อนแต่ลงทุนไปมากหักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือไม่มาก พอยกเลิกใช้ยา ใช้ปุ๋ย ได้เงินน้อย ไม่เห็นก้อนเงินแต่ไม่มีค่าใช้จ่ายมาก สรุปก็คือ รายได้พอๆ กัน
ก่อนจะมาที่สวนลูกสาวของเธอบอกว่า อีกอย่างไม่มีความเสี่ยง ไม่มีความเครียดเหมือนช่วงที่ลงทุน เมื่อลงทุนมากก็เครียดว่าจะได้คุ้มทุนไหม เช่น ลงไปล้านหนึ่งก็ต้องคิดว่าจะได้มากกว่าไหม กลัวจะไม่คุ้มทน แต่พอไม่มีค่าใช้จ่ายจากยา จากปุ๋ยเคมี ก็ต้องไม่เครียด ได้เท่าไรก็เท่านั้น และช่วงหลังได้ผลผลิตดี ได้ราคาดี พอไม่ใช้สาร เป็นทุเรียนปลอดภัย ราคาก็สูงกว่าของคนอื่น
“พวกผักตามใต้ต้นทุเรียนก็กลับมาให้ได้กิน ถ้าใช้ยาผักใต้ต้นไม่มีเลย ไม่มีอะไรกินได้เลย พวกพืชพื้นบ้านตายหมด” เจ้าของสวนว่า
“เมื่อก่อนพอคนงานฉีดยาต้องปิดบ้านหมดอยู่แต่ในบ้าน พอคนงานฉีดยาเสร็จรีบออกจากบ้านไปพักที่อื่น สามสี่วันกลับมา มันไม่มีกลิ่นแล้ว แต่เข้าใจว่าสารตกค้างยังไม่หมด” เธออธิบายต่อในขณะที่ทำน้ำหมักใส่ขวด เธอทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสีแดงใช้เป็นปุ๋ย
นับว่าโชคดีที่เธอหยุดเสียก่อนที่จะป่วยและฉันก็ได้กินทุเรียนอย่างสบายใจ เพื่อนที่ไปด้วยกินไปหนึ่งลูกแบบนิ่มกำลังดี เพราะสุกคาต้นกับแบบห่ามที่ไปตัดมา
น้ำหมักหรือจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสีแดง เธอว่ามาจากญี่ปุ่น เพิ่มผลผลิตและพลังงาน มันกินแก๊สไข่เน่าเป็นอาหาร ญี่ปุ่นค้นคว้ามานานเป็นการเพิ่มพลังงานในดิน เพิ่มความแข็งแรงกับต้นไม้ จุลินทรีย์จะเข้าไปอยู่ในรากของพืช และมีการต้านทานโรคด้วย สูตรนี้ใช้แสงแดดซึ่งเหมาะสมกับบ้านเรามาก ใส่ทุเรียนหรือต้นไม้อื่นๆ ก็ได้ งั้นต้องไปดูวิธีทำกันหน่อยนะคะ ตามมาเลยค่ะ เจ้าของสวนเธอพร้อมจะทำให้ดูเลย
เธอเริ่มจากเอากะละมังมาตอกไข่ใส่ลงไปสามสิบฟอง ผงชูรสห้าช้อน กะปิห้าถึงสิบช้อน น้ำปลาหนึ่งขวด กวนให้เข้ากัน
“เหมือนไข่ปรุงรสเลย” ใครสักคนพูดขึ้น
แล้วไปเตรียมน้ำใส่ขวดลิตรไว้หลายๆ ขวด ตักไข่ปรุงรสลงไปหนึ่งช้อนครึ่ง ปิดฝาตากแดดเป็นอันว่าเสร็จ ทุกวันจะต้องพลิกขวดไปมาตากไว้หนึ่งเดือนจึงจะใช้ได้
“ตรงไหนมีแดดก็วางทิ้งไว้”
“ดูก็ไม่ยากนะ ผ่านไปเดือนหนึ่งมันจะเปลี่ยนสีเองใช่ไหม”
“ใช่” เธอชี้ให้ดูที่วางอยู่ในสวนเต็มไปหมด ขวดเล็กขวดใหญ่
เมื่อจะใช้กับต้นไม้ อัตราส่วนร้อยซีซีต่อน้ำยี่สิบลิตร แล้วเอาไปรดสิบวันครั้งหนึ่ง ไม่ต้องบ่อย แต่ทุเรียนเป็นต้นไม้ใหญ่ใส่ไปเป็นขวดเลย รดทั้งขวดเลย ใส่ต้นละขวด มองเห็นด้วยตาว่าบำรุงต้นได้ดีใบเขียวสวยขึ้นมา
นับว่าใครสนใจลองดูนะคะ ไม่ยากเลยและประหยัดกว่าปุ๋ยเคมีมาก ที่สำคัญปลอดภัยกับตัวเองและผู้อื่น
สร้างยุคเปลี่ยนให้กับตัวเองลดการใช้ยาและสารเคมีลงจนในที่สุดกลับมาที่วิถีเกษตรธรรมชาติได้อย่างสบายใจสบายกายอีกครั้ง