ผู้เขียน	สุรเดช สดคมขำ
เผยแพร่	วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2564

ปัจจุบันความสำเร็จของการทำเกษตรเกิดจากการมองถึงโอกาสในเรื่องของการประหยัดต้นทุนมากขึ้น เพราะการลดต้นทุนเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่จะทำให้สินค้าต่างๆ มีผลกำไรในการขายสินค้าแต่ละครั้ง เพราะถ้าหากไม่มีการคำนึงในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิต ก็จะทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงมีแต่เพิ่มภาระหนี้สิน หรือบางรายมีผลกำไรที่ไม่มากพอ

แม้แต่เกษตรกรที่ทำปศุสัตว์เองในเวลานี้หลายๆ ครัวเรือนที่ได้มีการใส่ใจในเรื่องการลดต้นทุนมากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้แล้ว ยังสามารถมีเงินเก็บเพื่อใช้จ่ายในคราวจำเป็น อย่างเกษตรกรหลายรายได้มีการประหยัดต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ เพื่อให้ในการขายแต่ละครั้งมีรายได้เพียงพอ เหมือนเช่น คุณเกษร สุขสุคนธ์ อยู่บ้านเลขที่ 257 หมู่ที่ 7 ตำบลพลับพลาไชย อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ยึดอาชีพเลี้ยงโคลูกผสมเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ โดยเน้นประหยัดต้นทุนด้วยการนำไปเลี้ยงตามทุ่งหญ้าทุ่งนา ทำให้สามารถประหยัดต้นทุนในเรื่องค่าอาหาร สามารถมีกำไรจากการขายได้เป็นอย่างดี

คุณเกษร เล่าให้ฟังว่า ทำอาชีพเสริมเกี่ยวกับเลี้ยงโคเนื้อมากว่า 10 ปี เพราะสมัยก่อนนั้นยังไม่ได้คิดที่จะทำงานอาชีพทางด้านนี้ ต่อมาได้รับโคมาจากคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งครอบครัวของเธอเลี้ยงไว้เป็นอาชีพ แต่ต่อมามีเหตุจำเป็นที่จะต้องมารับช่วงเลี้ยงต่อจากครอบครัว จึงทำให้เธอยึดการเลี้ยงโคเนื้อมาเป็นอาชีพเสริมในเวลาต่อมา

“พอรู้ว่าต้องมารับช่วงเลี้ยงต่อ ก็มองว่าน่าจะสามารถมาทำเป็นอาชีพเสริมได้ เพราะช่วงนั้นเราไม่ได้สนใจที่จะทำเกี่ยวกับปศุสัตว์เลย แต่จะเน้นไปทำอาชีพเกี่ยวกับทำไร่ทำนาส่วนใหญ่ แต่เมื่อต้องมาเลี้ยง ก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรยาก โดยจะเน้นแบบเลี้ยงปล่อยท้องนาท้องไร่ ในเวลาสายๆ จนถึงบ่าย พอตกเย็นก็ค่อยต้อนกลับมาเข้าคอก ก็เลี้ยงแบบนี้มานานก็ถือว่าดีประสบผลสำเร็จ สามารถทำเงินเก็บได้” คุณเกษร เล่าถึงที่มา

คุณเกษร บอกว่า โคที่เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นพันธุ์อเมริกันบราห์มันลูกผสมกับโคพื้นเมือง โดยไม่ได้เน้นให้มีเลือดร้อยแบบที่หลายๆ ฟาร์มเลี้ยง แต่จะเน้นให้ภายในฟาร์มมีแต่แม่พันธุ์ที่ทำการผสมเทียม เมื่อเห็นว่าแม่พันธุ์ตัวใดมีอายุที่พร้อมจะผสมพันธุ์ได้ ก็จะหาน้ำเชื้อที่ต้องการมาผสมให้กับแม่โค จากนั้นเมื่อผสมจนติดใช้เวลาดูแลช่วงตั้งท้องอย่างน้อย 9 เดือน แม่โคก็จะออกลูกและปล่อยเลี้ยงรวมกับฝูง

“โคที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะมีคอกที่เป็นโรงเรือนให้อยู่ เพื่อหลบแดดหลบฝนเวลาที่ไม่ได้นำออกไปเลี้ยงในทุ่ง ก็จะให้กินฟางที่เราซื้อไว้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไล่ต้อนให้ออกไปตามทุ่งนา หญ้าสดโคก็จะได้กินในช่วงนั้น ส่วนลูกที่ออกมาก็จะให้ตามฝูงไปด้วย ให้แม่เลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ โดยคนที่พาไปเลี้ยงก็จะสลับกันไป อย่างถ้าเรามีวันหยุดจากงานประจำก็จะไปเลี้ยงเอง แต่ถ้าหลักๆ ก็จะให้สามีไปเฝ้า ซึ่งจากการเลี้ยงด้วยวิธีนี้ โคที่นี่ไม่เคยให้กินอาหารเสริมอย่างอื่นเลย ก็เจริญเติบโตดี” คุณเกษร บอก

ในเรื่องของการป้องกันโรคนั้น คุณเกษร บอกว่า จะติดต่อให้ทางเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ที่รับผิดชอบในพื้นที่มาทำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ปีละ 2 ครั้ง โรคที่ป้องกันหลักๆ จะเกี่ยวกับโรคปากเท้าเปื่อย ซึ่งโคที่เลี้ยงภายในฟาร์มทั้งหมดเนื่องจากทำเป็นอาชีพเสริมรายได้ จึงไม่จำเป็นต้องรีบขาย โดยเน้นเลี้ยงให้มีอายุอย่างต่ำ 3 ปี จึงจะปล่อยขายให้กับลูกค้าที่มาติดต่อขอซื้อต่อไป

แต่ลูกโคที่ออกมาแต่ละปีเป็นตัวผู้จะเน้นขายออกมากกว่าตัวเมีย จะเลี้ยงให้มีอายุอย่างน้อย 6 เดือน ถึงปีกว่าๆ ก็จะขายออกทันที เพื่อให้ลูกค้าหรือเกษตรกรรายอื่น มารับซื้อไปเป็นพ่อพันธุ์คุมฝูงภายในฟาร์ม

“ในการขายแต่ละครั้ง ก็จะแบ่งขายออกอยู่ที่ 4-5 ตัว ซึ่งแต่ละปีก็จะได้ราคาที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่ที่ว่าปีนั้นๆ โคจะมีราคาแพงหรือราคาถูก อีกอย่างโคที่ฟาร์มไม่ใช่เลี้ยงแบบเลือดร้อย แต่เป็นลูกผสม ดังนั้น ราคาต่ำสุดต่อตัวก็อยู่ที่ 25,000 บาท ถ้าสูงกว่านี้ก็อยู่ที่ความสวยรูปทรง ก็ถือว่าเป็นอาชีพเสริมที่พออยู่ได้ เพราะทำกันเองในครอบครัว ใครว่างก็นำออกไปเลี้ยงไล่ทุ่ง ก็ทำให้ประหยัดต้นทุนในเรื่องอาหารมากขึ้น หากไม่คิดอะไรการเลี้ยงโคก็สามารถสร้างเงินเก็บที่ดีได้” คุณเกษร บอก

สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเลี้ยงโคเพื่อเป็นอาชีพ แต่ยังไม่กล้าที่จะลงมือทำ คุณเกษร แนะนำว่า ถ้าเกิดความชอบและมีใจรักที่จะลงมือทำ ในครั้งแรกอาจจะศึกษาก่อนว่าสภาพแวดล้อมที่อยู่นั้นเหมาะกับการเลี้ยงโคสายพันธุ์แบบไหน จากนั้นศึกษาถึงอุปนิสัยต่างๆ ของโคที่ต้องการเลี้ยง และสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเลี้ยงโคคือพยายามหาวิธีลดต้นทุนและเลี้ยงอย่างประณีต โคทุกตัวก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง จากที่เป็นผู้เลี้ยงโคทำด้วยใจรัก สิ่งเหล่านั้นจะทำเงินและเลี้ยงดูเราเอง

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณเกษร สุขสุคนธ์ หมายเลขโทรศัพท์ (087) 154-1758

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2018