ฝนตกไผ่เลี้ยงเริ่มแทงหน่อ หนองคายส่งขายไปถึงลาว ราคาพุ่งกก.ละ 50 ฟันรายได้วันละ 2,000

ฝนตกไผ่เลี้ยงเริ่มแทงหน่อ ส่งขายลูกค้าไทย-ลาว กิโลกรัมละ 40 – 50 บาท สร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างเป็นกอบเป็นกำ นอกจากขายหน่อแล้วยังขายต้นพันธุ์ เพาะชำไม่ทันกับความต้องการของลูกค้าทั้งไทยและลาว หากต้องการจำนวนมากต้องสั่งจองไว้ล่วงหน้าเป็นปี ราคาพุ่ง 3 ต้น/200 บาท

จากการที่มีฝนตกต่อเนื่องในจังหวัดหนองคายหลายวัน ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่มีความชุ่มชื้น ส่งผลดีกับพืชผลการเกษตร ที่เกษตรกรเพาะปลูก ไผ่เลี้ยงก็เป็นพืชผลการเกษตรอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับผลดีที่จากฝนที่ตกลงมาในช่วงนี้ โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกไผ่เลี้ยง บ้านนาพิพาน ตำบลปะโค อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ที่ขณะนี้ไผ่เลี้ยงที่ปลูกไว้ ได้เริ่มแตกหน่อออกมาจากพื้นดินเป็นจำนวนมาก เกษตรกรที่ปลูกนำไปขายทั้งที่เป็นหน่อสด และมีการแปรรูปพร้อมนำไปปรุงเป็นอาหาร ที่ตลาดสดแจ้งสว่าง ต.หนองกอมเกาะ อ.เมือง จ.หนองคาย ที่อยู่ริมถนนบายพาสไปด่านพรมแดนหนองคาย มีลูกค้าทั้งไทยและลาวเข้าไปจับจ่ายซื้ออาหารสดที่ตลาดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งหน่อไม้เป็นที่นิยมของลูกค้าทั้งไทยและ สปป.ลาว ขณะนี้ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่ปลูกไผ่เลี้ยงได้เป็นอย่างดี

นายสุวพิษ ศรีวงษ์ อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 หมู่ 1 ต.ปะโค อ.เมือง จ.หนองคาย บอกถึงสาเหตุที่ปลูกไผ่เลี้ยงว่า จากการที่ช่วงนี้จังหวัดหนองคาย มีฝนตกต่อเนื่อง ได้ส่งผลดีกับไผ่เลี้ยงที่ตนปลูกไว้ในเนื้อที่กว่า 3 ไร่ ที่เริ่มแตกหน่อออกมา ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการให้น้ำไว้ก่อน เมื่อฝนตกลงมาก็ทำให้ไผ่เริ่มแตกหน่อขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ตนเก็บไปขายที่ตลาดสดแจ้งสว่างทุกวัน เป็นที่ต้องการของลูกค้าทั้งไทยและ สปป.ลาว โดยเฉพาะลูกค้าชาวลาวตนจะให้มารับที่ตลาดแห่งนี้เลย ช่วงนี้ไผ่ให้ผลผลิตได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 20 กก./ไร่และจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนสูงกว่า 100 กก./ไร่ ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษา หากดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำสมบูรณ์ก็จะให้ผลิตสูง ราคาขายหน่อสดขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 30-40 บาท ซึ่งถือว่าราคาดีมาก แต่ถ้าเทียบกับปีที่ผ่านมาถือว่าลดลงเล็กน้อย เนื่องจากปีนี้มีผู้ปลูกไผ่เลี้ยงเพิ่มขึ้นทำให้มีผลผลิตออกมาในท้องตลาดมากขึ้น นอกจากขายหน่อสดแล้ว ยังมีหน่อไม้ต้ม ราคาอยู่ที่ 40-50 บาท และเมื่อหน่อไม้มีผลผลิตมากขึ้นขายไม่หมด ก็จะมีการแปรรูปให้เป็นหน่อไม้ที่พร้อมนำไปปรุงอาหารได้ทันที โดยเฉพาะการนำไปแกง ก็จะมีน้ำย่านางให้ ขายชุดละ 20 บาท ขายหมดทุกวัน มีรายได้เฉลี่ยต่อวันไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท

นายสุวพิษ บอกว่า นอกจากนี้ต้นพันธุ์ของไผ่ยังเป็นที่ต้องการลูกค้าทั้งไทยและลาว ซึ่งตนจะจำหน่าย 3 ต้น/200 บาท ขณะนี้มีลูกค้าทั้งไทยและชาวลาวมาซื้อต้นพันธุ์ที่สวนเป็นจำนวนมาก จนทำไม่ทัน ซึ่งตนกำลังเร่งชำให้เป็นระยะ แล้วทยอยส่งมอบให้ลูกค้าที่สั่งจองไว้เพื่อนำไปปลูก ใครที่ต้องการเป็นจำนวนมาก ก็ต้องสั่งจองล่วงหน้าเป็นปี

นายสุวพิษ กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากปลูกไผ่เลี้ยงแล้ว ตอนนี้ยังได้นำพันธุ์ไผ่อีก 2 ชนิดมาทดลองปลูกในสวน คือ พันธุ์กิมซุง และพันธุ์หม่าจู และยังอยากให้แนะนำเกษตรกรว่าอย่าแห่ปลูกพืชตามกัน เนื่องจากจะทำให้ราคาตก แต่ให้ปลูกพืชให้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะพืชที่ใช้ทำเครื่องแกง เช่นตะไคร้ ขิง ข่า และใบมะกรูด เป็นต้น ซึ่งจะสามารถขายได้ตลอดทั้งปีเช่นกัน สามารถสร้างได้เสริมให้เกษตร ในช่วงที่ปลูกชนิดอื่นยังไม่ให้ผลผลิต หรือช่วงที่พักต้น ได้เป็นอย่างดี.