ฟื้นข้าวท้องถิ่นสระบุรี “เจ๊กเชยเสาไห้” อร่อย-น้ำตาลต่ำบุกตลาดสุขภาพโกยปีละ 30 ล้าน

บริษัทฟรีไลฟ์ดันแบรนด์ “ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้” ข้าวพื้นเมือง GI จังหวัดสระบุรี รุกตลาดสุขภาพ ชูข้าวเป็นยา น้ำตาลต่ำกินอร่อย ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเผยกำลังการผลิตปีละ 500 ตัน ไม่พอความต้องการ ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา นิยมสูง พร้อมแตกไลน์ผลิตภัณฑ์แปรรูป ข้าวต้ม โจ๊ก แป้งข้าวเจ้า เข้าโมเดิร์นเทรด-ส่งออก โกยรายได้ปีละ 30 ล้านบาท ชี้ปลูกข้าวเจ๊กเชยโอกาสอยู่รอดชาวนา ตั้งเป้าโตปีละ 10%

น.ส.วันเพ็ญ อุ่นจันทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟรีไลฟ์ ดีไซน์ จำกัด ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตนเคยเป็นมนุษย์เงินเดือน ตำแหน่งผู้จัดการต่างประเทศ ฝ่ายการตลาดบริษัทประเทศไต้หวันแห่งหนึ่ง กระทั่งล้มป่วย จึงกลับบ้านที่จังหวัดสระบุรี หันมาลงทุนทำธุรกิจขายข้าว เนื่องจากมีครอบครัวเป็นเกษตรกร แต่ในอดีตจะปลูกข้าวอายุสั้นทั่วไป ผลผลิตออกมาขายได้ราคาต่ำ ผลที่ตามมาคือทุกคนเป็นหนี้ ทำให้กลับมามองข้าวเจ๊กเชยเสาไห้ ซึ่งเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิม ที่สูญหายไปจากตลาด 20 ปีแล้ว มองว่าจะเป็นโอกาสของชาวนา เนื่องจากเป็นข้าวที่ปลูกเฉพาะถิ่น และได้รับ GI (Geographic Indication) หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อปี 2554 ทำให้ตลาดของแบรนด์ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้ได้รับความนิยมมากขึ้น

ข้าว GI ปลูกได้แค่ 7 อำเภอ

สำหรับข้าวเจ๊กเชยเสาไห้ เป็นข้าวเจ้าไวต่อช่วงแสงปลูกในช่วงฤดูนาปี ในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเสาไห้ อำเภอเมือง หนองแซง วิหารแดง หนองแค หนองโดน และอำเภอดอนพุด
จังหวัดสระบุรี ซึ่งหากนำไปปลูกพื้นที่อื่น คุณภาพข้าวจะเปลี่ยน ที่สำคัญคุณสมบัติข้าวมีค่าน้ำตาลต่ำ ดีต่อสุขภาพ และหุงขึ้นหม้อ เนื้อข้าวเหนียว นุ่ม เคี้ยวหนึบ ไม่เละ สามารถหุงทิ้งข้ามคืนไม่บูด เพราะน้ำตาลน้อย และถ้าเอาไปทำข้าวราดแกงจะไม่ยุบตัวง่าย ทำให้ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งตลาดในและต่างประเทศ

“เราเริ่มต้นด้วยการปลูกในครอบครัว 3 ครัวเรือน รวม 10 กว่าไร่ โดยปีแรกได้ผลผลิต 5 ตัน ผลผลิตส่วนหนึ่งไว้กินเอง เห็นผลว่ากินแล้วไม่ป่วย จึงเห็นโอกาสเริ่มคิดธุรกิจจริงจัง ชักชวนให้ชาวนาหันมาปลูก เพราะข้าวเจ๊กเชยเสาไห้เป็นข้าวนาปีต้นทุนต่ำ ไร่ละ 1,500 บาท แค่หว่านทิ้งไว้ หรือดำกล้าไว้ ใช้เวลา 153 วันในการเก็บเกี่ยว เป็นพันธุ์ที่ทนต่อโรค แมลง และใช้น้ำน้อย ผลผลิตต่อไร่ประมาณ 600 กิโลกรัม ถือว่าไม่สูง แต่ก็ไม่ต่ำ ปัจจุบันในกลุ่มมี 19 ครัวเรือน รวมผลผลิตปีละ 500 ตัน”

ส่งออกตะวันออกกลาง

น.ส.วันเพ็ญกล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีกำลังการผลิตปีละ 500 ตัน จากพื้นที่ 800 ไร่ แบ่งเป็นส่งออก 300 ตัน มีตลาดหลัก คือ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา จะนิยมข้าวกล้อง และข้าวกล้องงอก โดยสินค้าทั้ง 2 ชนิดนี้ ใช้วิธีการผลิตข้าวกล้องแบบใหม่ คือ ทำให้ข้าวสุกในเปลือกก่อนภายใต้การควบคุมอุณหภูมิ และแรงดันไอน้ำที่เหมาะสม แล้วจึงนำไปกะเทาะเปลือก ทำให้กลุ่มตะวันออกกลางนิยมมาก เพราะเก็บข้าวได้หลายปี หรือขณะเดินทางแค่ใส่น้ำฝังไว้ใต้ทราย ครึ่งชั่วโมงก็กินได้ นอกจากนี้ยังได้รับความนิยมจากออสเตรเลีย เยอรมนี ญี่ปุ่น และปัจจุบันส่งออกไปอเมริกา เดือนละ 3 ตัน โดยการผ่านเทรดเดอร์

ส่วนอีก 200 ตัน จำหน่ายภายในประเทศทั้งในรูปแบบข้าวขาว ข้าวกล้อง ข้าวกล้องงอก และทำเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูป ได้แก่ โจ๊กข้าวขาว โจ๊กข้าวกล้อง โจ๊กข้าวกล้องงอก ข้าวต้ม แป้งข้าวเจ้า และข้าวชงดื่ม จัดจำหน่ายตามโมเดิร์นเทรด ได้แก่ The Mall Maxvalu สยามพารากอน เอ็มโพเรียม ตั้ง ฮั่ว เส็ง สบายใจ บาย กรีนไลน์ และร้านสหกรณ์กรุงเทพ สาขาบางลำพู เอกมัย ปิ่นเกล้า ลาดหญ้า ปัจจุบันมีฐานลูกค้าในประเทศถึง 60% ที่ให้ส่งถึงบ้าน เป็นการส่งครั้งละไม่ต่ำกว่า 6 ขวด ขวดละ 1.5 กก. ราคา 100-120 บาท

“มองว่าข้าว GI เป็นโอกาส เคยไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นมีนานิดเดียว แต่เพิ่มมูลค่าได้สูงมาก เรียกว่าทำข้าวทุกเม็ดให้มีราคา แล้วทำแบบประณีต ที่สำคัญญี่ปุ่นใช้ข้าวพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งตรงนี้ที่จุดประกายให้เรา และตอนนี้เรายังมีการวิจัย เราร่วมกับ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าด้วย”

ประกันราคาตันละ 8,000 บาท

ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟรีไลฟ์ กล่าวอีก เนื่องจากเรามีสโลแกนที่ว่า “ชาวนาอยู่ได้ เราอยู่ได้ ชาวนาอยู่ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้” ดังนั้นจะต้องปลดล็อกปัญหาของชาวนาที่ผ่านมา คือ การปลูกข้าวเหมือนกัน เช่น ปลูกข้าวอายุสั้นทั้งประเทศ เราต้องไม่ทำตลาดแบบนี้ การขายเหมือนกันหมดนั้นไม่มีตัวตน เราเปลี่ยนเป็นกลับมาทำนาปี และเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งจริง ๆ ประเทศไทยมีข้าวกว่า3,000 พันธุ์

นอกจากนี้ ฟรีไลฟ์ ยังมีการประกันราคาข้าวเปลือกให้กับสมาชิกกลุ่มที่ราคาตันละ 8,000 บาท แต่หากราคาตลาดสูงกว่านั้น จะให้ราคาตลาดและบวกให้อีก 1,000 บาท ทำให้วันนี้ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้ทำราคาได้สูงกว่าเดิม จากตันละ 35,000 บาท เป็น 66,000 บาท

“ด้วยราคานี้ชาวนาอยู่ได้ และเวลาว่างก็ปลูกผัก หรือทำขนมที่ใช้แป้งข้าวเจ้าขาย เช่น เส้นขนมจีน ขนมเปียกปูน หม้อแกง ขนมชั้น ทุกวันนี้เราขายถาดขนาด 30 เซนติเมตร คูณ 30 เซนติเมตร ถาดละ 600 บาท หรือชิ้นละ 30 บาท ส่วนมากชาวนาจะทำส่งช่วงที่ว่าง”

เดินหน้าผลิดข้าวอัดเม็ดสุขภาพ

น.ส.วันเพ็ญเปิดเผยอีกว่า ปัจจุบันแบรนด์ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้เป็นเจ้าเดียวที่ทำข้าวพันธุ์นี้ครบวงจร ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีศูนย์เรียนรู้ 8 ไร่ ให้ความรู้เรื่องความเป็นมาของข้าว เลือกลูกหลานชาวนาที่เป็นคนรุ่นใหม่เพื่อสร้างทีมต้นแบบ 1 ครัวเรือน เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในอาชีพ และเราอยากให้เกษตรกรไทยปรับตัว

“ดิฉันทำปีแรกก็โดนโกง แต่ไม่ยอมแพ้ ปัจจุบันลงนากับชาวนาตลอด ถึงตอนนี้เราทำเมล็ดพันธุ์เอง และขายกิโลกรัมละ 25 บาท หลักของเรา คือ ข้าวต้องไม่ทิ้งเลย ทุกอย่างที่เป็นข้าวต้องเป็นเงิน เช่น ฟางข้าวนำมาทำกล่อง เหมือนกระดาษสา ปุ๋ยไม่ต้องซื้อเกี่ยวข้าวเสร็จ ไถกลบตอซังทิ้งไว้ให้เป็นปุ๋ย และสิ่งสำคัญต้องรักษาคุณภาพ และต้องทำตลาดนำข้าว ลูกค้าต้องการเท่าไหร่เราถึงปลูก”

ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทฟรีไลฟ์ กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการปีนี้อยู่ที่ 25-30 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 20% ซึ่งถือว่าเกินคาด เป้าหมายอีก 2 ปี จะทำออร์แกนิก เพื่อเพิ่มราคาข้าว จะดันให้ราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท และเราไม่หยุดแค่นี้ จะทำข้าวให้เป็นยา ตอนนี้ทำข้าวอัดเม็ด ภายใต้แบรนด์ CI Life โดยใช้จมูกข้าว ผสมคอลลาเจน ช่วยเรื่องข้อเข่าเสื่อม ขณะนี้อยู่ระหว่างขอ อย. ขวดละ 30 เม็ด ขายปลีกขวดละ 420 บาท

“ฟรีไลฟ์ตั้งเป้าโตปีละ 10% แต่ช่วง 2 ปีหลัง ที่รัฐบาลส่งเสริมสินค้าจีไอ ทำให้เป็นโอกาส และโตเร็วกว่าที่คาด เราเองอยากให้ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้กลับมาเป็นที่รู้จัก เป็นเสาไห้ที่อร่อย และคุณภาพดี ไม่ใช่เสาไห้แบบในตลาดทั่วไปอย่างทุกวันนี้ และหากจะกินก็ต้องนึกถึงสระบุรี”

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์