เผยแพร่ |
---|
ซาลาเปา เป็นอาหารว่างอีกเมนูหนึ่งที่เรามักเห็นจำหน่ายอยู่ในร้านสะดวกซื้อ หรือตามสถานที่ต่างๆ เนื่องจากเป็นอาหารที่หารับประทานง่าย ใช้เป็นอาหารรองท้องสำหรับรอมื้อหลัก หรือรับประทานเป็นอาหารว่างก็เป็นที่นิยม เพราะราคาไม่สูงมากนัก และในปัจจุบันมีคนคิดและปรับปรุงสูตรของการผลิตไส้ซาลาเปาให้มีความหลากหลาย เพื่อรองรับความต้องการในรสชาติของผู้บริโภคทุกกลุ่ม มีทั้งไส้หวาน ไส้หมูสับไข่เค็ม ไส้หมูแดง ไส้ครีม และไส้แปลกใหม่อื่นๆ สำหรับไส้ที่ขายดิบขายดี เพราะมีคนติดใจในรสชาติดั้งเดิมของซาลาเปาคือ ไส้หมูสับไข่เค็ม หรือไส้หมูแดง
ที่หมู่บ้านภูเขาแก้ว ถนนสถิตย์นิมานกาล ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี (ริมถนน 4 เลน สายอุบลราชธานี-พิบูลมังสาหาร-ด่านชายแดนช่องเม็ก) จะมีซาลาเปานึ่งขายกันสดๆ อยู่ริมถนนหลายเจ้า เรียงรายกันไป เพื่อจำหน่ายให้กับผู้ที่สัญจรไปมาได้แวะซื้อรับประทานกันทั้งวัน ด้วยเพราะความอร่อยจริงไม่อิงการโฆษณา ซาลาเปาที่นี่จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักทั่วไปในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียง หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวที่มาจากภาคอื่นๆ ที่เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของจังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งไปด่านชายแดนช่องเม็ก ต้องผ่านเส้นทางนี้ ส่วนใหญ่จะจอดรถซื้อซาลาเปาเพื่อลิ้มลองรสชาติบรรเทาอาการหิวและซื้อเป็นของฝากกันทั้งนั้น

คุณจิตรลดา ทรัพย์ศิริ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/1 ถนนสถิตย์นิมานกาล ชุมชนภูเขาแก้ว ตำบลพิบูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านที่ผ่านการประกอบอาชีพมามากมายหลายประเภท ทั้งค้าขาย เย็บผ้า ซักรีด ฯลฯ แต่ปัจจุบันได้หันมาทำซาลาเปา และขนมจีบ ขายสร้างรายได้อย่างงดงามที่หน้าบ้านของตนเองมากว่า 5 ปี โดยตั้งชื่อร้านว่า ร้านคุณย่า จนสามารถพลิกฐานะความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งคุณจิตรลดา บอกว่า เนื่องจากชุมชนของตนหรือหมู่บ้านภูเขาแก้ว ตั้งอยู่ริมทางหลวง (ถนน 4 เลน)
ซึ่งเป็นเส้นทางจากตัวเมืองอุบลราชธานี มุ่งสู่แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังมากมายหลายจุดของจังหวัดอุบลราชธานี ไม่ว่าจะเป็น ผาแต้ม แก่งสะพือ แม่น้ำสองสี พัทยาน้อย ด่านชายแดนช่องเม็ก รวมทั้งน้ำตกอีกหลายแห่ง จึงทำให้ได้เปรียบในด้านทำเลการค้าอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะประเภทอาหารการกินจะขายดีมาก และหนึ่งในจำนวนสินค้าริมทางที่สร้างชื่อสร้างเงินให้กับชาวบ้านที่นี่ก็คือ ซาลาเปา เพราะซาลาเปาที่นี่มีความอร่อย รสชาติเป็นหนึ่งมาตลอดถึงขนาดที่ว่า ถ้าเอ่ยชื่อ ซาลาเปาพิบูล (พิบูลมังสาหาร) นักชิมจะรู้และนึกออกทันที ถึงกับมีคนเอาชื่อไปแอบอ้างวางขายซาลาเปาแล้วติดป้าย ซาลาเปาพิบูล ทั้งๆ ที่มิได้เป็นซาลาเปาพิบูล แต่คนที่เคยลิ้มลองรสชาติของซาลาเปาพิบูลจะรู้ทันทีว่าอันไหนของจริงหรือของปลอม ส่วนร้านของตนก็จะทำซาลาเปาทั้งไส้หวาน ไส้เค็ม ไส้หวานก็มี ไส้เผือก ไส้สังขยา ไส้ครีม ไส้ถั่วดำ ส่วนไส้เค็ม ก็จะมี ไส้หมูสับ ไส้หมูสับหน่อไม้ ไส้หมูแดง และขนมจีบที่สะอาด อร่อย ไว้คอยบริการลูกค้า

คุณจิตรลดา กล่าวต่อว่า การทำซาลาเปาและขนมจีบของพวกตนจะทำกันเองภายในครอบครัว ไม่ได้จ้างแรงงาน ทำให้มีต้นทุนผลผลิตต่ำ แต่กำไรสูง แต่ละวันเราจะนึ่งขายกันสดๆ ที่หน้าบ้านและจะขายหมดทุกวัน ทำให้มีรายได้ดีกว่าที่คิดไว้ ส่วนการทำซาลาเปาจะมีหลายสูตรตามความเหมาะสมและความถนัดของแต่ละคน ซึ่งแต่ละเจ้า มีเทคนิคหรือสูตรแห่งความอร่อยเป็นของตนเอง และความอร่อยจะเริ่มต้นตั้งแต่การทำแป้งซาลาเปา สูตรผสมจะสำคัญมาก ทั้งผสมครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เช่น ส่วนผสมที่ 1 แป้งสาลี (ไม่ขอบอกยี่ห้อ) เหลือง 1 ขีด น้ำ 370 ซีซี ยีสต์ 1 1/2 ช้อนโต๊ะโดยมีวิธีทำดังนี้ ร่อนแป้งด้วยตะแกรงตาถี่ใส่ในภาชนะ นำยีสต์ผสมกับน้ำ คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5 นาที จากนั้นนำมาเทใส่แป้ง ค่อยๆ ใช้มือนวดจนเป็นเนื้อเดียวกันประมาณ 30 นาที เมื่อแป้งเนียนได้ที่แล้วจึงใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำบิดให้แห้งคลุมไว้ เพื่อหมักให้แป้งฟู ประมาณ 2-3 ชั่วโมง และส่วนผสมที่ 2 ประกอบด้วย แป้งสาลี 5 ขีด 2 1/2 ออนซ์ น้ำตาลทราย 300 กรัม ผงฟู 2 ช้อนโต๊ะ และเนยขาว 100 กรัม โดยมีวิธีทำก็คือ เมื่อหมักส่วนที่ 1 ได้ที่แล้ว จึงเทน้ำตาลทรายลงไปในส่วนที่ 1 นวดจนน้ำตาลละลายเข้าไปในเนื้อแป้ง แล้วเทแป้งสาลี ผงฟู นมสดลงไป นวดให้เข้ากัน (ปัจจุบันใช้เครื่องนวดแทนมือ) จึงเติมเนยขาว นวดต่อไปจนเนื้อแป้งฟูนุ่มมือ ถ้าแป้งแห้งเกินไปให้ค่อยๆ พรมน้ำอุ่น แล้วนวดแป้งต่อไป ประมาณ 10-15 นาที แล้วคลุมด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำบิดให้แห้ง 20 นาที ใส่ไส้แล้วนำไปนึ่งในน้ำที่กำลังเดือด เมื่อสุกแล้วยกลงพักให้เย็น
ด้านการทำไส้ซาลาเปาให้มีรสเป็นเลิศ คุณจิตรลดา บอกว่า คนที่ทำซาลาเปาขายมักจะมีสูตรคล้ายๆ กันทั่วประเทศ ส่วนจะให้อร่อยจริงๆ นั้น มันเป็นเคล็ดลับของแต่ละคน นอกจากการทำแป้งซาลาเปาให้นุ่มนิ่มอร่อยแล้ว อันดับต่อมาอยู่ที่ไส้ของซาลาเปา อยู่ที่ว่าใครจะทำให้รสชาติของไส้อร่อยได้กว่ากัน ยกตัวอย่าง ไส้หวาน ทุกคนมีสูตรคล้ายๆ กันคือ ส่วนผสมประกอบด้วย ถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง หรือ เผือก 8 ขีด น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม มะพร้าวขูด 1 กิโลกรัม และมีวิธีทำคือ ถ้าเป็นถั่วดำหรือถั่วเขียว แช่น้ำ 1 คืน (เผือกหรือถั่วเหลืองไม่ต้องแช่น้ำ) ต้มให้สุกนำมาโขลกหรือบดให้ละเอียด นำมะพร้าวมาคั้นเอาแต่หัวกะทิ นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวให้เดือด ใส่ถั่วลงไป กวนเรื่อยๆ เติมน้ำตาลทราย กวนจนแห้งเป็นอันเสร็จ และขณะที่ทำใครมีความสามารถพิเศษ เคล็ดลับพิเศษ หรือมีดีตรงไหนก็จะใส่ลงไปแบบไม่ยั้ง และขอบอกว่าซาลาเปาของเราไม่หวงส่วนประกอบ อย่างมะพร้าวหรือกะทิ นี่เต็มที่ไปเลย น้ำตาลต้องให้ถึง รสชาติจะได้ออกมาอย่างละมุนละไม ไม่หนักแน่นหรือเลี่ยนจนเกินไป

คุณจิตรลดา บอกอีกว่า ราคาขายซาลาเปาของตน จะขายในราคา ชิ้นละ 5 บาท ส่วนขนมจีบก็ราคาเดียวกัน ทั้งนี้ จะเริ่มตั้งเตานึ่งขายตั้งแต่เช้าตรู่ยันสี่หรือห้าโมงเย็น ซึ่งก็ขายหมดเกลี้ยงทุกวัน ส่วนรายได้จากการขายซาลาเปาและขนมจีบของตนเมื่อหักต้นทุนผลผลิตแล้วจะได้กำไรตกวันละ 500-1,000 บาท เดือนหนึ่งๆ ก็ประมาณ 15,000-30,000 บาท เป็นอย่างต่ำ ถ้าช่วงไหนเป็นเทศกาลท่องเที่ยว จะมีนักท่องเที่ยวผ่านเยอะ ก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ปกติแล้วจะมีนักท่องเที่ยวผ่านเยอะทุกฤดูกาล จะมากหน่อยก็เป็นช่วงฤดูแล้ง นอกจากจะนึ่งซาลาเปาขายหน้าร้านแล้ว ยังมีพ่อค้าคนกลางมาสั่งทำ เพื่อนำไปจำหน่ายยังต่างหมู่บ้าน ต่างอำเภอ อีกด้วย และในแต่ละวันที่ร้านของตนยังมีขนมจีบที่ทำเอง รสชาติอร่อย สะอาด ถูกหลักอนามัย ไว้จำหน่ายให้ลูกค้าด้วย
หากท่านใดมีโอกาสผ่านไปเที่ยวที่แก่งสะพือ อำเภอพิบูลมังสาหาร หรือด่านชายแดนช่องเม็ก หรือผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี อย่าลืมแวะชิมรสชาติซาลาเปา-ขนมจีบ ร้านคุณย่า หากออกจากตัวเมืองอุบลราชธานี ก่อนถึงตัวอำเภอพิบูลมังสาหาร ประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ ร้านคุณย่า จะอยู่ริมถนนทางด้านซ้ายมือ แต่ถ้าหากขากลับเข้าตัวเมืองอุบลราชธานี พอออกจากอำเภอพิบูลมังสาหาร ประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ ร้านจะอยู่ทางขวามือ มองเห็นป้ายบอกชื่อ ร้านคุณย่า อย่างโดดเด่นชัดเจน หรือสนใจสั่งซื้อเป็นจำนวนมากก็โทร. (087) 454-7116 รับรองว่า ร้านคุณย่า ไม่สร้างความผิดหวังในเรื่องของความอิ่มอร่อยอย่างแน่นอน