ชี้ช่องรวยรายวัน กับ การปลูก กล้วยน้ำว้า-มะละกอ ปลูกกินเองก็ได้ ปลูกขายก็รวย

มุมนิทรรศการ สายพันธุ์กล้วยน้ำว้า กว่า 10 สายพันธุ์

เมื่อเร็วๆ นี้ บมจ. มติชน และนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัปดาห์หนังสือและการเรียนรู้ ครั้งที่ 8 ณ สุนีย์ ทาวเวอร์ ซิตี้ มอลล์ จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมจัดเวทีเสวนาเกษตรชี้ช่องรวย กับ “กล้วยน้ำว้า-มะละกอ” ไม้ผลเศรษฐกิจสำคัญที่กำลังได้รับความนิยมจากเกษตรกรและประชาชนทั่วไป โดยเปิดโอกาสให้คนไทยทั่วประเทศได้รับชมการถ่ายทอดสดจากเวทีเสวนาผ่านทางเฟซบุ๊ก “khaosod” ปรากฏว่า มีผู้สนใจรับชมการถ่ายทอดสดตลอด 2 วัน นับแสนราย ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถเปิดชมวิดีโอย้อนหลังทางเฟซบุ๊ก khaosod ได้ทุกวัน 

 

บ.ก. เทคโนโลยีชาวบ้าน ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับวิทยากร
บ.ก. เทคโนโลยีชาวบ้าน ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับวิทยากร

มะละกออีสาน ปลูกกินเองได้ ปลูกขายรวย

สำหรับการเสวนาเกษตรสัญจร หัวข้อ “มะละกออีสาน ปลูกกินเองได้ ปลูกขายรวย” ดำเนินรายการโดย คุณวิไล อุตส่าห์ นักวิชาการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี และมีวิทยากรร่วมให้ความรู้เรื่องมะละกอ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่

คุณธวัชชัย นิ่มกิ่งรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ บรรยาย เรื่อง “มะละกอแขกดำศรีสะเกษ พืชพรรณล้ำค่าประจำถิ่นอีสาน ปลูกทำส้มตำได้ ปลูกกินสุกดี” คุณธวัชชัย กล่าวว่า ทางศูนย์วิจัยฯ ได้วิจัยพัฒนามะละกอแขกดำศรีสะเกษรุ่นแรก เมื่อประมาณ 20 ปี ที่แล้ว ข้อดีของมะละกอแขกดำศรีสะเกษคือ ใช้งานได้ตลอดช่วงอายุ กินดิบก็ได้ กินสุกก็ดี ใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูปก็ได้ สร้างโอกาสการขายแก่เกษตรกร หลังจากมะละกอออกดอกแล้ว ประมาณ 1-2 เดือน หากมะละกอราคาดี เกษตรกรก็จะเก็บผลดิบออกขาย หากช่วงไหน มะละกอดิบมีราคาถูก ก็จะเลี้ยงผลมะละกอจนครบ 4 เดือน เพื่อขายในรูปผลสุก หากเก็บผลก่อนถึงระยะผลสุก ก็จะส่งขายเข้าโรงงาน

มะละกอพันธุ์ส้มตำ ผลดิบเหมาะสำหรับทำส้มตำ กินสุกก็อร่อยอีกแบบ
มะละกอพันธุ์ส้มตำ ผลดิบเหมาะสำหรับทำส้มตำ กินสุกก็อร่อยอีกแบบ

โดยธรรมชาติของต้นมะละกอ หลังจากเก็บผลดิบออกขายแล้ว จะติดดอกรุ่นใหม่ทันที ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอดิบได้ผลผลิตต่อไร่สูง เก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลายรุ่นต่อปี และไม่เปลืองปุ๋ย หากเก็บผลสุกออกขาย ก็ต้องใช้ปุ๋ยเยอะกว่า  และใช้เวลาปลูกดูแลนาน ทั้งนี้ คนไทยมีนิสัยใจร้อน จึงพยายามปรับปรุงพันธุ์มะละกอให้มีอายุน้อยลง เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไวขึ้น

เนื่องจากภาครัฐยังไม่เปิดโอกาสให้นักวิจัยพัฒนาดัดแปลงพันธุกรรมพืช (GMOs) จึงต้องพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืชโดยใช้วิธีธรรมชาติ เพื่อพัฒนาพันธุ์มะละกอให้มีความทนทานต่อโรคมากขึ้น โดยเฉพาะโรคไวรัสจุดวงแหวน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของการปลูกมะละกอ โรคไวรัสจุดวงแหวน สาเหตุมาจากเชื้อไวรัส ที่แพร่กระจายในอากาศ อาจเกิดจากการติดเชื้อปนเปื้อนมากับเมล็ดพันธุ์ก่อนการนำมาปลูก โรคชนิดนี้ยังไม่มียาต้านทานไวรัส ไม่มียารักษา เปรียบเสมือนโรคเอดส์มะละกอ อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้พันธุ์มะละกอคุณภาพดีและวิธีเขตกรรม นับเป็นทางเลือกที่ช่วยป้องกันโรคไวรัสจุดวงแหวนได้เช่นกัน

โดยทั่วไป มะละกอแขกดำศรีสะเกษ มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูง ปลูกดูแลง่าย มะละกอคอแรกมีความสูงเฉลี่ย 2 เมตรเศษ ผลล่างติดตั้งแต่ความสูง 1.20 เมตรขึ้นไป มะละกอแขกดำศรีสะเกษของทางศูนย์วิจัยฯ ผลิตในลักษณะสายพันธุ์บริสุทธิ์ เพื่อให้เกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดไว้ปลูกขยายพันธุ์ได้ในรุ่นต่อไป

ทุกวันนี้ มะละกอแขกดำของศูนย์วิจัยฯ ผลิตมากเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอกับปริมาณความต้องการของตลาด เกษตรกรทั่วประเทศสนใจสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์มะละกอแขกดำศรีสะเกษเข้ามาเป็นจำนวนมาก ต้องรอคิวสั่งจองกันล่วงหน้าข้ามปี มะละกอแขกดำศรีสะเกษ เปิดตัวมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว ยังขายดีจนถึงทุกวันนี้ น่าจะการันตีคุณภาพสินค้าได้เป็นอย่างดี

มะละกอ เป็นไม้ผลที่มีอายุยืน หากไม่เป็นโรคจะมีอายุเก็บเกี่ยวยาวนานถึง 10 ปี สมัยก่อนต้นมะละกอมีความสูงประมาณตึก 3 ชั้นทีเดียว ขนาดลำต้นใหญ่เท่ากับต้นมะม่วง ปัจจุบัน ปรับปรุงให้ต้นมะละกอมีอายุสั้นลง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น ในอนาคต นักวิจัยอาจปรับปรุงพันธุ์ต้นมะละกอให้มีลักษณะใบที่สั้นลง เพื่อเพิ่มจำนวนปลูกต่อไร่ให้ได้มากขึ้น ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ก็จะสูงขึ้น รวมทั้งพัฒนาคุณภาพเนื้อมะละกอให้มีความกรอบ มีรสหวานมากขึ้นด้วย

ทางศูนย์วิจัยฯ ได้พยายามพัฒนาปรับปรุงมะละกอแขกดำศรีสะเกษรุ่นใหม่ให้มีศักยภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น และตอบสนองความต้องการของตลาด เนื่องจากทุกวันนี้ ไม่มีมะละกอที่มีเนื้อสีแดงเข้มวางขายในท้องตลาดเลย ทางศูนย์วิจัยฯ จึงเน้นพัฒนามะละกอแขกดำศรีสะเกษเวอร์ชั่นใหม่ ที่มีเนื้อสีแดงจัด เป็นจุดขาย แล้วยังพัฒนาให้มีลักษณะข้อถี่ขึ้น มีลักษณะบั้นท้ายอวบ รูปทรงสวยคล้ายผู้หญิง รวมทั้งปรับปรุงพันธุ์ให้มีลำต้นเตี้ยลง เพื่อป้องกันการหักโค่นล้มจากลมพายุ ที่เกิดขึ้นบ่อยในพื้นที่ภาคอีสานและช่วยให้ง่ายต่อการดูแลเก็บเกี่ยวผลผลิต หากใครสนใจมะละกอแขกดำพันธุ์ใหม่ อดใจรออีก 2-3 ปี ได้มีโอกาสทดลองปลูกแน่นอน

ด้าน คุณละไม ยะปะนัน นักปรับปรุงพันธุ์มะละกอและผู้จัดการงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์คุณภาพตราศรแดง ได้กล่าวว่า บริษัทใช้ระยะเวลาในการปรับปรุงมะละกอพันธุ์ส้มตำโดยวิธีธรรมชาติถึง 15 ปี จนได้มะละกอพันธุ์ดี ที่มีลักษณะเด่นคือ ลำต้นใหญ่ แข็งแรง การติดผลดก ความสูงของดอกแรกต่ำ มีจำนวนข้อมาก ให้ผลผลิตสูง มีช่อใหญ่ และมี 2-3 ผล ต่อช่อดอก ผลผลิตสูงสุดถึงต้นละ 150 ผล

มะละกอลูกผสม พันธุ์ส้มตำถูกใจตลาด โดยเฉพาะกลุ่มแม่ค้าส้มตำ เพราะมะละกอพันธุ์นี้มีเนื้อกรอบ อร่อย เก็บไว้  5-7 วัน ยังมีคุณภาพดี และมะละกอพันธุ์นี้มีคุณภาพดีถูกใจเกษตรกรด้วยเช่นกัน เพราะมีจุดเด่นในเรื่องความดก 1 ขั้ว จะติดผลถึง 3 ผล ทนทานต่อสภาพอากาศหนาวจัดและร้อนจัด ที่สำคัญทนทานต่อโรคใบจุดวงแหวน ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส และโรครากเน่า ผลเน่า ได้ดี ทนทานต่อการขนส่ง ให้ผลเร็ว อายุการเก็บเกี่ยว 7-8 เดือน ทรงผลยาว 33-35 เซนติเมตร สีเนื้อเป็นสีเหลือง น้ำหนักเฉลี่ย ผลละ 1.5 กิโลกรัม ความหวาน 13-14 บริกซ์

สำหรับ พื้นที่ 1 ไร่ จะสามารถปลูกมะละกอ พันธุ์ส้มตำได้ จำนวน 213 ต้น โดยปลูกในระยะ 3×2.5 เมตร จะได้ผลผลิตต่อต้น เฉลี่ย 80-100 ผล น้ำหนักผล เฉลี่ย 1.5 กิโลกรัม หรือประมาณ ต้นละ 120 กิโลกรัม คำนวณผลผลิตต่อไร่ ประมาณ 25,560 กิโลกรัม หรือ 20-25 ตัน ต่อไร่ เกษตรกรจะมีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตเฉลี่ย กิโลกรัมละ 4บาท หรือประมาณ 80,000-100,000 บาท ต่อไร่ กล่าวได้ว่า มะละกอลูกผสม “พันธุ์ส้มตำ” เป็นทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกรและผู้ส่งออก

นอกจากนี้ ทางบริษัทได้พัฒนามะละกอพันธุ์กินสุก ที่มีลักษณะเด่น คือ มะละกอลูกผสม พันธุ์มะม่วง ที่มีลักษณะเด่นคือเนื้อเหลืองทอง มีกลิ่นหอม อร่อยมาก น้ำหนัก 1 กิโลกรัม ความหวาน 13-14 บริกซ์ เมื่อนำไปกินกับข้าวเหนียวมูนก็ได้รสชาติอร่อยกลมกล่อม ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับการกินข้าวเหนียวมะม่วง หากใครสนใจมะละกอลูกผสมของศรแดงสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่เบอร์โทร. (02) 831-7777

คุณอภิชาติ นาคประสงค์ เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอในภาคอีสานมานานกว่า 20 ปี กล่าวว่า พื้นที่ 1 ไร่ สามารถปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ได้ 200 ต้น ให้ผลผลิต ต้นละ 50 ผล ขายในราคาขั้นต่ำ ผลละ 10 บาท จะมีรายได้จากผลผลิต ต้นละ 500 บาท เท่ากับรายได้ขั้นต่ำ เฉลี่ยไร่ละ 100,000 บาท ต่อปี แต่ตอนนี้ มะละกอฮอลแลนด์ ซื้อขายในราคากิโลกรัมละ 30-35 บาท เท่ากับมีรายได้ ไร่ละ 300,000 บาท หากใครอยากมีรายได้ ปีละ 500,000 บาท ก็ลงทุนปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์สัก 5 ไร่ และขอแนะนำให้รวมกลุ่มเกษตรกรปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ คนละ 2 ไร่ ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เพื่อสร้างพลังต่อรองซื้อขายผลผลิตกับแม่ค้าได้ดีขึ้น

การปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ได้สร้างเศรษฐีมาแล้วหลายราย การปลูกมะละกอให้ได้ผลดี ต้องเริ่มจากเลือกพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม เน้นสภาพพื้นที่ดอน ระบายน้ำได้ดี และมีแหล่งน้ำเพียงพอ อาจใช้แหล่งน้ำบ่อบาดาลได้ หากอยู่ใกล้ริมห้วยหรือแม่น้ำก็ยิ่งดี หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงกับปัญหาน้ำท่วมขัง หากใครมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปลูกมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ สามารถพูดคุยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับ คุณอภิชาติ ได้ที่เบอร์ โทร. (088) 529-2956 ได้ทุกวัน แต่อย่าโทร.เกินเวลา 21.00 น. เพราะจะรบกวนเวลาพักผ่อนส่วนตัว

 

 

สร้างอาชีพ-รายได้ อย่างมั่นคงด้วย กล้วยน้ำว้า

ส่วนเวทีเสวนา เรื่อง “สร้างอาชีพ-รายได้ อย่างมั่นคง ด้วย กล้วยน้ำว้า” คุณวิไล ทำหน้าที่ดำเนินรายการ ส่วนผู้ที่มาให้ความรู้เรื่องการปลูกกล้วยคือ คุณศิลาพร สิงหรักษ์ รองประธานกลุ่มแม่บ้านฯ เกาะคู จังหวัดพิษณุโลก และ คุณณัชคิรากร ดำชมทรัพย์ เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 จังหวัดฉะเชิงเทรา วิทยากรทั้ง 2 ต่างยืนยันตรงกันว่า ตลาดกล้วยน้ำว้า มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะกล้วยเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ตลาด โดยเฉพาะทั้งตลาดผลสดและแปรรูป ผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ทั้งในประเทศและส่งออก

กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 ขายดีทั้งหน่อและเครือกล้วย
กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 ขายดีทั้งหน่อและเครือกล้วย

คุณศิลาพร บอกว่า ปีนี้แหล่งปลูกกล้วยน้ำว้าหลายจังหวัดเจอปัญหาภัยแล้งรุนแรง ทำให้ต้นกล้วยเจอปัญหาหักคอ เสียหายเป็นจำนวนมาก ทำให้มีผลผลิตเข้าสู่ตลาดค่อนข้างน้อย กล้วยน้ำว้าปีนี้จึงมีราคาแพงมาก จูงใจให้เกษตรกรเร่งขยายพื้นที่ปลูกกล้วยน้ำว้ามากขึ้น ราคาหน่อพันธุ์กล้วยน้ำว้ามะลิอ่องจากเดิมที่เคยซื้อขายในราคา หน่อละ 15 บาท ก็ปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น หน่อละ 20 บาท

ด้าน คุณณัชคิรากร กล่าวว่า การปลูกกล้วยน้ำว้าปากช่องไม่ใช่เรื่องยาก ปลูกในระยะ 3×4 เมตร หากอยากได้กล้วยหวีใหญ่ ต้องปลูกให้พื้นที่กว้างหน่อย จะช่วยคุณภาพของกล้วยได้ ก่อนปลูกควรตรวจสอบสภาพดินว่า เป็นดินแบบไหน หากทำในลักษณะแปลงปลูกแบบยกร่อง จะทำให้ปลูกดูแลให้น้ำได้ง่ายหน่อย เพราะต้นกล้วยต้องการน้ำมาก ปลูกแค่ 8 เดือน ก็เก็บผลผลิตออกขายได้แล้ว นอกจากขายเครือกล้วยแล้ว ยังขายหน่อกล้วยได้อีก ในราคา หน่อละ 25 บาท เรียกว่า ปลูกกล้วยขายได้ดีมีกำไรหลายทาง

เรื่องกล้วยน้ำว้า ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอีกมาก เสียดายพื้นที่น้อยไปหน่อย ขออนุญาตนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมของวิทยากรแต่ละท่านอย่างละเอียดอีกครั้ง โปรดติดตามอ่านได้ในตอนต่อไปค่ะ