เกษตรกรสุพรรณฯ เปิดเคล็ดลับปลูกเมล่อนญี่ปุ่นให้ได้ลูกสวย-ราคาดี

img_0725-728x546

ในการทำเกษตรปัจจุบันนั้น หากจะให้มีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ ประการแรกต้องเลือกพืชผักผลไม้ที่ได้ราคาดีและเป็นที่ต้องการของตลาด มีคุณภาพมาตรฐานในระดับสากล พร้อมกันนั้นต้องมีปัจจัยเรื่องการตลาดมารองรับด้วย ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยกว่าการผลิตเลย

จะเห็นว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ เกษตรกรกลุ่มหนึ่งในหลายจังหวัดหันมาปลูกเมล่อน อย่างสุโขทัย กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ฯลฯ เพราะได้ราคาดีมีตลาดรองรับ สามารถส่งขายทั้งในและต่างประเทศ ควบคุมผลผลิตได้ด้วยเทคโนโลยี เรียกว่าเป็นผลไม้ที่มาแรงในเวลานี้จริงๆ ซึ่งแม้การลงทุนจะสูงในช่วงเริ่มต้น แต่ผลตอบแทนที่ได้นับว่าคุ้มค่าทีเดียว

img_0774-728x5462 ปี ปลูกได้ 7 รอบ

อย่างเกษตรกรที่อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งพื้นที่นี้ไม่มีแม่น้ำหรือแหล่งน้ำทางธรรมชาติไหลผ่าน แต่ก็สามารถปลูกเมล่อนในโรงเรือนได้ โดยมีการขุดแหล่งน้ำในพื้นที่ของตัวเอง

ทางบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) พาไปดูแปลงปลูกเมล่อนของ “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกเมล่อนบ้านหนองคาง” ภายใต้การนำของ “คุณอำนาจ แตงโสภา” นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแจงงาม ที่ส่งขายในแม็คโคร เพื่อให้เห็นว่าที่นี่ปลูกเมล่อนกันอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ ประเภท 2 ปี ปลูกได้ถึง 7 รอบ หรือ 7 คร็อป

คุณอำนาจ ย้อนอดีตให้ฟังว่า ก่อนจะมาปลูกเมล่อน เกษตรกรในพื้นที่นี้ปลูกกันมาหลายอย่าง เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ฯลฯ แต่ก็ประสบปัญหานานา กระทั่งมาปลูกเมล่อนทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ปัจจุบันทางกลุ่มมีสมาชิกราว 80 คน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 100 ไร่ และยังคงขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ในปีนี้ ตั้งเป้าผลิตเมล่อนญี่ปุ่นให้ได้ 70 ตัน ทุกเดือน ซึ่งในการปลูกนี้มีทางบริษัทขายเมล็ดพันธุ์มาให้ความรู้ต่างๆ

ทั้งนี้ เมื่อปี 2549 กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกเมล่อนญี่ปุ่นในท้องถิ่น ได้รวมตัวกันจัดตั้ง “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกเมล่อนบ้านหนองคาง” ภายใต้การนำของคุณอำนาจ ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนแห่งนี้ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในวงกว้างว่าเป็น ผู้ผลิตเมล่อนญี่ปุ่นในรูปแบบโรงเรือนปิดปลอดสารพิษตกค้าง ตามการรับรองมาตรฐานการจัดการเกษตรที่ดี (GAP) ที่มีคุณภาพรสชาติความหวานเป็นที่  1

ความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกเมล่อนบ้านหนองคาง มีปัจจัยหลายอย่าง นอกจากจะมีการเรียนรู้ร่วมกันแล้ว ยังมีการทำงานร่วมกันด้วย ซึ่งในพื้นที่อื่นๆ อาจจะไม่มี นั่นคือ การลงแขก

img_0802-728x546

คุณอำนาจ เล่าว่า ทางกลุ่มได้มีการจัดการผลิตที่เป็นระบบ โดยกำหนดรอบเวรให้สมาชิกแต่ละรายปลูกห่างกัน 4 วัน เพื่อให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดตลอดทั้งปี กลุ่มวิสาหกิจชุมชนต้นแบบแห่งนี้ตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง และมีความสามัคคีปรองดองในกลุ่มสมาชิก ที่ผ่านมาพวกเขามักรวมตัวกันใช้แรงงานร่วมกันที่เรียกภาษาชาวบ้านว่า “ลงแขก” ไปช่วยผสมเกสรในแปลงปลูกเมล่อนของเพื่อนสมาชิก เพื่อให้ได้ผลผลิตทันเวลาและช่วยกันลงแขกเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ทำให้สมาชิกกลุ่มทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากทุกคนต้องการร่วมมือกันพัฒนาเมล่อนของชุมชนให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น

ด้วยระบบการปลูกที่ได้คุณภาพและมีตลาดแน่นอน ทำให้เกษตรกรในท้องถิ่นหันมาปลูกเมล่อนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยทางกลุ่มจะจัดอบรมความรู้เรื่องการปลูกเมล่อนญี่ปุ่นให้แก่เกษตรกรมือใหม่ได้รู้จัก “วงจรชีวิตแตงเมล่อน” โดยช่วงวันที่ 1-10 เป็นขั้นตอนการเพาะกล้า ช่วงวันที่ 11-22 เป็นขั้นตอนการตัดแต่งแขนง ช่วงวันที่ 23-25 เป็นระยะผสมเกสร ช่วงวันที่ 26-30 เป็นระยะคัดผลและแขวนลูก ช่วงวันที่ 36-60 เป็นระยะเร่งลูก บำรุงปุ๋ยให้ต้นเมลอนญี่ปุ่นเจริญเติบโตตามที่ต้องการ ช่วงวันที่ 61-70 เน้นเพิ่มความหวานให้ผลเมลอนญี่ปุ่น และช่วงวันที่ 71-75 เป็นระยะการเก็บเกี่ยวผลผลิต

คุณอำนาจ แจงว่า กรณีเป็นเกษตรกรมือใหม่จะแนะนำให้ทดลองปลูก 4 โรงเรือนก่อน โรงเรือนขนาด 3.5×36 เมตร ปลูกได้ 740 ต้น สามารถสร้างรายได้ถึงรอบละ 40,000-45,000 บาท ต่อโรงเรือน อย่างไรก็ตาม การปลูกในครั้งแรกจะมีต้นทุนค่าโรงเรือน ค่าระบบน้ำ ประมาณ 220,000 บาท และมีต้นทุนการปลูกเป็นค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ เฉลี่ยรอบละประมาณ 8,000 บาท เมื่อหักต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด เกษตรกรมือใหม่จะมีโอกาสคืนทุนและได้ผลกำไรภายใน 1 ปี

img_0736-728x546

ชอบอากาศร้อน ใช้น้ำน้อย

ที่ผ่านมาการที่กลุ่มจัดหลักสูตรอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเข้มข้น นับว่ามีส่วนช่วยทำให้เกษตรกรมือใหม่ สามารถผลิตเมล่อนญี่ปุ่นคุณภาพดี เป็นที่ยอมรับของตลาด ภายในเวลา 1 ปี เกษตรกรสามารถปลูกและเก็บเกี่ยวเมล่อนญี่ปุ่นได้ถึง 3 รอบ หากมีการวางแผนจัดการที่ดีบางรายอาจปลูกเมล่อนญี่ปุ่นได้ถึง 7 รอบ ภายในระยะเวลา 2 ปี

“การปลูกเมล่อนญี่ปุ่น ต้องอาศัยการดูแลอย่างใกล้ชิดพอสมควรเหมือนเลี้ยงดูลูกอ่อน เมล่อนญี่ปุ่นเป็นพืชที่ทนอากาศร้อนได้ดี แถมใช้น้ำน้อยไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำที่ใช้ทำนา ใช้เวลาปลูกดูแลเพียงแค่ 75 วันเท่านั้น สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้ เมล่อนแต่ละผลจะมีน้ำหนักเฉลี่ย 1.5-2 กิโลกรัม แต่ละโรงเรือนจะเก็บผลผลิตออกขายได้ประมาณ 1 ตัน ขายส่งในราคากิโลกรัมละ 53-60 บาท เมล่อนญี่ปุ่นนี้ไม่ชอบอากาศหนาวเลย ถ้าเจอหนาวจะทำให้ผลผลิตลดลง” คุณอำนาจ กล่าวและว่า ผู้ที่สนใจปลูกเมล่อน ก่อนอื่นต้องรู้ตัวว่าอดทนที่จะอยู่ในโรงเรือนได้หรือเปล่า เพราะจะร้อนมาก ถ้าอดทนไม่ได้จะลำบาก ซึ่งหากใครสนใจจะเรียนรู้การปลูกเมล่อนสามารถมาศึกษาได้ที่กลุ่ม โดยคิดค่าใช้จ่ายวันละ 1,000 บาท จะสอนทุกขั้นตอน

สมาชิกกลุ่มทุกคนตั้งใจผลิตเมล่อนญี่ปุ่นคุณภาพดีออกจำหน่าย หากผลผลิตไม่หวานไม่ตัดออกขายอย่างเด็ดขาด ทำให้สินค้าเมล่อนญี่ปุ่นทุกลูกที่ผลิตจากชุมชนแห่งนี้ มีคุณภาพดี เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เรียกว่า ผลิตจนไม่ทันกับความต้องการของตลาด สินค้ามีมากเท่าไหร่ก็ผลิตไม่พอขาย

คุณอำนาจ ยืนยันว่า ผลผลิตของกลุ่มแม้จะไม่ได้เป็นออร์แกนิกแต่ก็เป็นเกษตรปลอดภัย สามารถรับประทานได้ไม่ต้องห่วงเรื่องสารตกค้าง แต่หากไปซื้อเมล่อนที่วางขายตามข้างทาง ราคาถูก แต่อาจจะไม่ปลอดภัยพราะไม่มีการควบคุมการใช้ปุ๋ยเคมี

ตอนเช้าเหมาะผสมเกสร

สมาชิกวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกเมล่อนบ้านหนองคางอีกราย คือ คุณชูศักดิ์ แตงโสภา หรือ “ผู้ใหญ่หมู” เล่าว่า ก่อนหน้านี้ปลูกอ้อยเป็นอาชีพหลักแต่หักค่าใช้จ่ายแล้ว ผลกำไรเหลือไม่มาก ต่อมาปี 2554 เห็นเพื่อนเกษตรกรในชุมชนปลูกเมล่อนญี่ปุ่นแล้วได้ผลตอบแทนที่ดี เลยทดลองปลูกเมล่อน ปรากฏว่าสามารถคืนทุนได้ตั้งแต่การปลูกรอบแรก จึงขยายพื้นที่ปลูกเมล่อนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

img_0754-728x546

เขาอธิบายถึงเทคนิคการปลูกเมล่อนญี่ปุ่นให้ได้ผลผลิตที่ดีว่า อยู่ที่เทคนิคการผสมเกสรดอกเมล่อนในระยะเวลาที่เหมาะสมคือ ตั้งแต่ “07.00-11.00 น.” หลังจากนี้ไม่ได้ผลนัก เพราะพืชคายน้ำ ปัจจุบันทางกลุ่มได้ช่วยกันทำงาน โดยลงแขกผสมเกสรต้นเมล่อนญี่ปุ่น ทำให้สมาชิกทุกรายได้ผลผลิตที่ดี โดยทั่วไปดอกเมล่อนเป็นดอกสมบูรณ์ คือมีดอกเกสรตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกตัวผู้จะอยู่ระหว่างข้อบนลำต้น การผสมเกสรจะทำในตอนเช้า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ 07.00-09.00 น. โดยเลือกผสมดอกเพียง 2-3 แขนง ต่อต้น อาศัยการจดบันทึกดอกบานหรือจำนวนดอกที่ผสมในแต่ละวัน เพื่อกำหนดวันเก็บเกี่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สนใจติดต่อ โทรศัพท์ (081) 924-8192)

ด้าน ผศ.ดร.ชัยณรงค์ รัตนกรีฑากุล ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ซึ่งเป็นนักวิชาการที่คอยดูแลการปลูกของวิสาหกิจกลุ่มนี้ กล่าวว่า ปัจจุบันเกษตรกรไทยมีศักยภาพผลิตเมล่อนให้ได้ถึงมาตรฐานสากล (GLOBAL G.A.P.) โดยมีเงื่อนไขในการพิจารณาแบ่งออกเป็น 3 ด้านด้วยกันคือ ผลผลิตปลอดภัยได้คุณภาพไร้สารเคมีตกค้าง คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น และไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ส่วน “คุณศิริพร เดชสิงห์” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) บอกว่า เมล่อนญี่ปุ่น เป็นผลไม้ที่ตลาดต้องการสูง ในแต่ละปี แม็คโครขายเมล่อนกว่า 700 ตัน โดยรับซื้อจากเกษตรกรในเครือข่าย ที่ปลูกในจังหวัดสุพรรณบุรี ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 150 ตัน โดยแม็คโครควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ได้มาตรฐาน เนื้อแน่น หวาน กรอบ กลิ่นหอมตามธรรมชาติ ควบคุมสภาพดินและน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกในฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ควบคุมโรงคัดบรรจุตามมาตรฐานหลักเกณฑ์วิธีการผลิตที่ดี (GMP) ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้างและยาฆ่าแมลง ที่สำคัญ ผลผลิตทุกลูกสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งเพาะปลูก

img_0820-728x546

ฟังข้อมูลแบบนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงคิดอยากปลูกเมล่อนญี่ปุ่นกันบ้าง ซึ่งมีเกษตรกรหลายรายที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยจากการทำแปลงปลูกเมล่อนในโรงเรือน อย่างไรก็ตาม ก่อนลงมือปลูกต้องหาตลาดให้ได้แน่นอนเสียก่อน