ชนชาวอามิช เกษตรดั้งเดิมกลางโลกทุนนิยม

ในสังคมทุนนิยมสุดขั้วอย่าง อเมริกา เขามีกลุ่มชนที่มีขนบปฏิบัติสวนกระแสเข้มแบบไม่สนใครอยู่ ปะปนเป็นพลเมืองร่วมกับคนอื่นแหละ แต่ก็แยกตัวเองออกด้วยขนบปฏิบัติที่ไม่เหมือนใคร

Amish หรือ อามิช เป็นกลุ่มคนที่มีความเชื่อเรื่องการพึ่งพาตนเอง เกี่ยวข้องกับโลกภายนอกน้อยที่สุด พึ่งพาเทคโนโลยีน้อยที่สุด เป็นคริสเตียนในแบบของตนเอง นับถือพระเจ้า แต่มีวิธีเข้าหาพระเจ้าต่างจากคริสเตียนสายอื่น

เทียบกับของไทยที่ใกล้ที่สุด คงเป็นกลุ่มสันติอโศก แต่อามิชเก่าแก่กว่ามาก

เทือกเถาเหล่ากอเขามาจากสวิตเซอร์แลนด์เมื่อสี่ร้อยกว่าปีโน่นแล้ว ขยับไปเยอรมัน ใช้ภาษาเยอรมันคุยกัน ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 เขาก็อพยพมาอเมริกา บางส่วนไปแคนาดา สาเหตุการอพยพคือ ปัญหาความขัดแย้งเรื่องศาสนา ถูกกดขี่บีฑาจากคริสเตียนกระแสหลัก

ที่อเมริกานี่เขาพากันปักหลักที่รัฐเพนซิลวาเนียก่อน ต่อมาขยายไปเมืองอื่นด้วย ตอนนี้ก็อยู่แถวไปรัฐของฉันคือวิสคอนซินก็เคยเห็น แต่ถิ่นย่านอามิชเก่าแก่ และกลายเป็นเมืองอามิชจนถึงปัจจุบันก็อยู่ในเพนซิลวาเนีย

เขายังใช้ภาษาของเขาเอง คือ ภาษาเยอรมัน แต่คงดัดแปลงกันมาบ้าง ฉันฟังไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็พูดภาษาอังกฤษได้นะ

คนอามิชไม่ยอมเกณฑ์ทหาร ไม่ซื้อประกันชีวิต ไม่สมัครประกันสังคมใดๆ ทั้งสิ้น เด็กจะเรียนในโรงเรียนตามกฎหมายถึงแค่เกรดแปด หลังจากนั้นจะเรียนวิชาชีพ สอนโดยพ่อแม่และคนในสังคมเอง เขาจะเรียนถึงแค่อายุ 16 จากนั้นก็ออกมาทำงานมีครอบครัว คนอามิชจึงไม่ได้เรียนหนังสือสูง มีหลายคนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

1 9 2

เขาทำนา เลี้ยงสัตว์ รีดนมวัว ไม่ใช้ปุ๋ยและสารเคมีใดๆ เสื้อผ้าใช้ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด ก่อนนี้เขาใช้ผ้าย้อมด้วยมือเลยทีเดียว เดี๋ยวนี้ใช้ผ้าที่มีขายทั่วไป แต่ใช้สีพื้น เช่น สีดำ สีน้ำเงิน สีน้ำตาล ไม่ใส่สีฉูดฉาด

แต่พักหลังก็เห็นสาวๆ นุ่งสีสันเหมือนกันนะ แต่เฉพาะในงานพิเศษ งานรื่นเริงอะไรแบบนั้น และต้องเป็นงานใหญ่จริงๆ จึงจะทำได้ และที่สำคัญต้องได้รับอนุญาตจากผู้คุมกฎของเขา

ตอนหลังนี่เขาใช้เครื่องซักผ้าบ้างแล้ว ไม่ซักด้วยมือดังก่อนเก่า แต่ก็ยังตากผ้าแทนการอบเหมือนคนอเมริกันทั่วไป

อามิชถือว่ามีลูกมากยิ่งดี (สังคมเกษตรย่อมต้องดิ้นรนอยู่แล้ว) ถือว่าครอบครัวใหญ่เป็นพรของพระเจ้า พ่อแม่คู่หนึ่งมีลูก 4-5 คน เป็นปกติ เขาไม่คุมกำเนิด ดังนั้น จำนวนอามิชซึ่งเป็นชุมชนเล็กๆ หลักแสนจึงขยายตัวสูงมาก อัตราเฉลี่ยของประชากรอเมริกัน ช่วงปี ค.ศ. 1992-2013 ขยายตัว ร้อยละ 23 แต่ประชากรอามิชขยายตัว ร้อยละ 120 ตอนนี้มีอยู่ราว 300,000 คน ทั่วอเมริกา

อามิชจะแยกสังกัดโบสถ์แต่ละแห่ง และจะแต่งงานกันภายในสมาชิกโบสถ์เท่านั้น แต่ละโบสถ์มีสมาชิก 20-30ครอบครัว ดังนั้น ก็คือแต่งงานกันภายในคนกลุ่มนี้แหละ และที่เรียกว่าโบสถ์นี่คือ กลุ่มกระทำพิธีทางศาสนาร่วมกัน มีบาทหลวงมีศาสนาจารย์เหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีตัวโบสถ์ เขาจะย้ายไปประกอบพิธีตามบ้านของสมาชิกแต่ละราย อาทิตย์เว้นอาทิตย์

กฎของสังคมหรือกฎของโบสถ์ เรียกว่า Ordnung เป็นภาษาเยอรมัน แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า order จะครอบคลุมการใช้ชีวิตทั้งหมด ทั้งการแต่งกาย แต่ได้แค่ไหนอย่างไร จะใช้เครื่องไฟฟ้าได้หรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน ใช้รถได้ไหม ใช้โทรศัพท์ได้ไหม แต่ละโบสถ์แต่ละสังคมแตกต่างกันไป

เขาบอกว่าใครที่ออกจากชุมชนไป เมื่อตายแล้วจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ แนวคิดของอามิชคือ เชื่อฟังคนสั่งสอนที่สืบเนื่องกันมาหลายชั่วอายุคน เคารพกฎของสังคม และเชื่อฟังผู้อาวุโส การตัดสินเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมอามิช ใช้ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นคนตัดสิน ใครไม่เชื่อก็ถือว่านอกคอก มีวิธีลงโทษที่ผู้เฒ่าผู้แก่อีกนั่นแหละเป็นผู้กำหนด เช่น ไม่ให้ใครคบค้าสมาคมด้วย หรือจับตัดหนวดตัดเครา เป็นการลงโทษที่น่าหัวร่อ แต่รุนแรง เพราะไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

เขามีความเชื่อว่า คนออกไปนอกสังคมอามิชแล้ว จะ “แปดเปื้อน” แต่ที่จริงฉันว่าขู่กันไม่ให้คนกล้าออกไปมากกว่า

คนหนุ่มสาวอามิชออกมาจากสังคมไปมากต่อมาก หลายต่อหลายคนไม่กลับไปอีก ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร

อามิชยังใช้รถม้าเป็นพาหนะเดินทางในเมืองและถ้าไปต่างเมือง อย่างมากเขาจะขึ้นรถไฟ น้อยมากที่จะขึ้นเครื่องบิน ไปไหนมาไหนก็หอบหิ้วกันเป็นโขยง

6 7

สาวอามิชคนหนึ่งที่ฉันรู้จักนั่งเครื่องบินครั้งแรก อายุ 19 ตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นเครื่องบินลำเบ้อเร่อขึ้นไปลอยบนท้องฟ้าได้

แต่คนอามิชที่ยังอยู่ในสังคมของเขาก็ยืนยันว่าตนเองมีความสุข และหลักการพึ่งพาตนเองและจับกลุ่มกันไว้ให้แน่นนั้นดีแล้ว

อามิชเป็นชนกลุ่มน้อยยิ่งกว่าน้อย ทั้งวิถีชีวิตยังสวนกระแสสุดขั้ว แต่ประเทศทุนนิยมสุดขั้ว อย่าง อเมริกา ก็เคารพในหลักการของพวกเขา ไม่เข้าไปแทรกแซงจัดการแต่อย่างใด รถม้าของคนอามิชยังวิ่งเตาะแตะๆ บนถนนพร้อมกับรถยนต์ทั่วไปโดยไม่มีใครมาสั่งให้ออกไปจากถนนได้

ทั้งหมดคือ สิ่งที่เราเรียกว่า เคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน ใครที่ด่าอเมริกาว่าหยาบ จงเทียบตัวเองดูว่าเราเคารพความเป็นมนุษย์เท่าเขาไหม