กินให้เป็นยา สรรพคุณ “กล้วย” ที่คนไม่ค่อยรู้! ดีต่อตับ ความจำ ช่วยเบาหวาน

คนไทยกับต้นกล้วยเป็นความผูกพันมาช้านาน แม้วันนี้เราจะใช้ใบตองกล้วยน้อยลง หรือเลิกใช้เชือกกล้วยไปแล้วก็ตาม แต่ประเพณีชีวิตคนไทยกับต้นกล้วยยังแยกกันไม่ได้ ไม่ว่าพิธีขึ้นบ้านใหม่ หรือขบวนแห่ขันหมากแต่งงานก็จะขาดต้นกล้วยไม่ได้ ไปจนถึงพระราชพิธีพระบรมศพก็ยังมีการแทงหยวกกล้วยเป็นลวดลายประกอบพระเมรุ

ที่สำคัญคือเครื่องบายศรีใหญ่น้อยทั้งหลายที่ใช้ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ล้วนทำมาจากใบตองที่นำมารีดเป็นกลีบเป็นกรวยสวยงาม

อันเป็นที่มาของคำสำคัญที่ผูกพันชีวิตคนไทยกับต้นกล้วยว่า “พิธีรีตอง”

กล้วย

ข้างต้นเป็นเรื่องของกล้วยกับประเพณีไทย ในที่นี้จะขอกล่าวถึงการ “กินกล้วยเป็นอาหารและยา” ซึ่งดำรงอยู่ในวัฒนธรรมโภชนาการและแพทย์พื้นบ้านไทยมาแต่โบร่ำโบราณไม่ขาดสายมาจนถึงทุกวันนี้ คนไทยรู้จักกินกล้วยหลายชนิด แต่ที่ฮิตที่สุดก็คือ “กล้วยน้ำว้า”

นอกเหนือจากประโยชน์ทางด้านอาหารแล้ว กล้วยยังมีคุณค่าอนันต์ในทางยา หมอพื้นบ้านใช้ใบตองอ่อนที่ยังม้วนอยู่ นำมาอังไฟสำหรับประคบรักษาอาการปวดหน้าอก อาการอักเสบพุพองของผิวหนัง หรือนำมาต้มน้ำดื่มแก้ท้องเสีย บิด แก้ผื่นคัน

สมัยที่ยาเพนิซิลินหายาก น้ำคั้นสดจากหยวกกล้วยช่วยเยียวยาโรคหนองใน ดื่มแก้ท้องร่วง ท้องเสีย หรือใช้ชโลมหนังศีรษะและเส้นผมบ่อยๆ เพื่อรักษาอาการผมร่วงและปลูกผม น้ำคั้นจากเหง้าเป็นยาแก้ไข้และบำรุงร่างกาย

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาฤทธิ์ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารในหนูทดลองหลายชนิด ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับคน พบว่า ผงกล้วยดิบ ในขนาด 5 กรัม/วัน (สำหรับหนูทดลอง) หรือประมาณ 250 กรัม/วัน สำหรับคน สามารถช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะได้

และถ้าเพิ่มปริมาณขนาด 7 กรัม/วัน (สำหรับหนูทดลอง) หรือประมาณ 350 กรัม/วัน สำหรับคน จะช่วยรักษาแผลในกระเพาะที่เกิดจากการได้รับยาแอสไพริน

โดยพบว่า กล้วยจะไปกระตุ้นให้เซลล์ในเยื่อบุกระเพาะหลั่งสารเมือก (mucin) ออกมาเคลือบกระเพาะ เพิ่มความหนาและความแข็งแรงของเยื่อบุกระเพาะ ลดความเป็นกรดในกระเพาะ กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดมาโครฟาจ (macrophage) ซึ่งช่วยเร่งการสมานแผลในกระเพาะอาหารให้หายเร็วขึ้น

สรรพคุณของเรื่องกล้วยๆ ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะผลจากการศึกษาในหนูทดลอง ยังพบว่า ผงกล้วยดิบ ขนาด 40 กรัม/วัน สำหรับคนเป็นยารักษาเบาหวานที่ได้ผลดีและปลอดภัย โดยออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างอินซูลินและกระตุ้นการใช้น้ำตาลกลูโคสในร่างกายด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า กล้วยดิบ มีเส้นใยอาหารจำพวกเฮมิเซลลูโลส (hemicellulose) และนิวตรอลดีเทอร์เจนต์ (nutral detergent fiber-NDF) ซึ่งเป็นเส้นใยที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ มีคุณสมบัติช่วยดูดซึมไขมันและคอเลสเตอรอลไว้แล้วขับออกมากับอุจจาระก้อนโต ทำให้ร่างกายดูดซึมคอเลสเตอรอลน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณไขมันในเลือดและเนื้อเยื่อลดลงด้วย

ซึ่งแน่นอนนอกจากช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในค่าปกติแล้ว กล้วยดิบโดยเฉพาะกล้วยดิบปิ้งยังเป็นอาหารยาช่วยลดน้ำหนักได้ดีและปลอดภัย

AFP PHOTO / NICOLAS ASFOURI

มีสรรพคุณที่ไม่ค่อยมีใครใคร่รู้ของกล้วยนั้นก็คือ ฤทธิ์รักษาตับ

มีการศึกษาฤทธิ์รักษาตับของกล้วยในหนูที่ได้รับยาพาราเซตามอลซึ่งทำให้เกิดความเป็นพิษต่อตับ และเมื่อป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของผงกล้วยเพียง 10% ให้หนู พบว่าผงกล้วยช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ของเซลล์ตับที่ถูกทำลายจากยาพาราเซตามอลได้

และยังป้องกันการเพิ่มขึ้นของสารสีเหลืองบิลิรูบิล (bilirubin) ในเลือด เนื่องจากตับเสื่อมไม่สามารถกำจัดสารบิลิรูบิลได้

ผลการทดลองในหนูย่อมสามารถได้ผลดีในคนด้วย กล่าวคือ กล้วยสามารถช่วยกำจัดพิษในตับคนและช่วยลดสารบิลิรูบิลอันเป็นสาเหตุทำให้คนสมองเสื่อม และสารบิลิรูบิลนี่เองที่ทำให้เด็กหลังคลอดตัวเหลืองและอาจกลายเป็นโรคเอ๋อได้

มีข่าวดีสำหรับผู้สูงอายุ มีการทดลองให้หนูกินกล้วยน้ำว้าเป็นอาหารนาน 3 เดือน พบว่า กลุ่มที่กินกล้วยมีความจำดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กิน เพราะกล้วยช่วยให้กลไกในการเพิ่มสารสื่อประสาทเกี่ยวกับความจำทำงานดีขึ้นอย่างมาก ดังนั้น กล้วยน้ำว้าจึงเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้สูงอายุด้วย

เดี๋ยวนี้กล้วยถูกจัดเป็นสมุนไพรในสาธารณสุขมูลฐานใช้บรรเทาอาการท้องเสียแบบไม่รุนแรง โดยมีวิธีรับประทานง่ายๆ ดังนี้ ใช้กล้วยน้ำว้าห่ามสดครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล หรือผงกล้วยปั้นเม็ดลูกกลอน ครั้งละ 4 เม็ด หรือใช้ผงกล้วย ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ รับประทานวันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน

ถ้าจะให้ได้ผลดียิ่งขึ้นควรกินร่วมกับน้ำขิงเพื่อเสริมฤทธิ์การขับลมช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

กล้วย

เมืองไทยแม้ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนามาหลายปีดีดัก แต่ก็ยังโชคดีที่มีกล้วยน้ำว้าราคาถูกไว้เป็นอาหารและยาชั้นดีช่วยดูแลสุขภาพคนไทยตั้งแต่วัยทารกจนถึงผู้สูงวัย

ดังนั้น จึงสมควรที่หน่วยงานภาครัฐตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ จะมาระดมความร่วมมือเพื่อโปรโมตวิถีวัฒนธรรมไทยกับต้นกล้วย พัฒนากล้วยเป็นผลิตภัณฑ์ยาและสินค้าโอท็อปหลากหลาย ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายในประเทศตามนโยบายใหม่ของรัฐบาลที่ไม่ต้องการยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ

ลองส่งเสริมเรื่องกล้วยๆ ดู รับรองเศรษฐกิจไทยหายใจคล่องขึ้นเยอะ

และเมื่อคนไทยเจอกันก็จะทักทายแบบเท่ๆ ว่า “วันนี้คุณกินกล้วยแล้วหรือยัง”

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2562