หน่อไม้ อาหารเพื่อสุขภาพใหม่

หน่อไม้อ่อนเป็นแหล่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติต้านมะเร็ง ตามการทบทวนใหม่ได้แนะนำให้ใช้หน่อไม้เป็น “อาหารเพื่อสุขภาพใหม่”

ทั้งนี้ ในการตีพิมพ์ผลการทบทวนด้านอาหารวิทยาศาสตร์และความปลอดภัยด้านอาหาร ได้พิจารณาการใช้หน่อไม้เป็นอาหารสุขภาพ โดยเน้นประโยชน์ของหน่อไม้ที่มีผลต่อสุขภาพและศักยภาพในการนำมาใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยปัญจาบในประเทศอินเดีย กล่าวว่า การที่จำนวนผู้บริโภคตระหนักถึงสุขภาพเพิ่มขึ้นได้กระตุ้นการเติบโต (ให้ความสำคัญ) กับส่วนผสมสำหรับอาหารที่มีสรรพคุณเป็นยา และกล่าวเสริมว่า หน่อไม้สามารถเป็นหนึ่งในส่วนผสมของอาหารเพื่อสุขภาพ

“หน่อไม้อ่อนไม่เพียงแค่อร่อยเท่านั้น แต่อุดมไปด้วยส่วนประกอบของสารอาหาร มีโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ ใยอาหารมีน้ำตาลและไขมันต่ำ” นักวิจัยซึ่งนำโดย ศาสตราจารย์ไนร์มาลา      ชงธรรม (Nirmala Chongtham) แผนกพฤกษศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยปัญจาบเขียนไว้

นอกจากนี้ หน่อไม้อ่อนยังมีไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) ซึ่งลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลในอาหารที่รับประทานเข้าไป จะช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายและส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และใยอาหารปริมาณสูงที่สามารถระบุได้ว่าเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์ทางยาหรือประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมถึงการป้องกันหรือรักษาโรค (nutraceuticals) ซึ่งเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้สนับสนุนและนักวิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพ

แม้ว่าจะเป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่างมากถึงการนำไม้ไผ่มาใช้ในงานอุตสาหกรรม แต่มีจำนวนน้อยกว่าที่รู้ข้อเท็จจริงของการนำหน่อไม้มาเป็นอาหาร

หน่อไม้เป็นผักป่าดั้งเดิมของประเทศจีนมานานกว่า 2,500 ปี อุดมไปด้วยสารอาหารและเป็นอันดับ 1 ใน 5 ของอาหารเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

ศาสตราจารย์ไนร์มาลา ชงธรรม อธิบายว่า ร้านอาหารจีนทั่วโลกนิยมให้ประชาชนในหลายประเทศได้ลิ้มรสหน่อไม้นี้ และมีการบริโภคหน่อไม้มากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ มีการบริโภคหน่อไม้ทั่วโลกมากกว่า 2 ล้านตันแต่ละปี โดยประเทศจีนเพียงประเทศเดียวผลิตได้ถึงประมาณ 1.3 ล้านตัน

ศาสตราจารย์ชงธรรม และเพื่อนร่วมงานได้อธิบายว่า งานวิจัยสมัยใหม่เสนอแนะให้เห็นว่าหน่อไม้อ่อนที่อุดมไปด้วยสารอาหารให้ประโยชน์ด้านสุขภาพเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีการรายงานว่า หน่อไม้มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียและไวรัส นอกเหนือจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูงเนื่องจากมีสารฟีนอล ซึ่งมีสารต่อต้านสารก่อมะเร็งและเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่ช่วยลดอนุมูลอิสระที่ผลิตสารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายได้อย่างมีประสิทธิผล

“นอกจากนี้หน่อไม้ที่ได้จากไพโรไลเสท (การให้ความร้อนแก่สารอินทรีย์ที่ปราศจากออกซิเจนหรือที่มีอากาศจำกัด) ได้รับการเสนอให้เป็นยาต้านจุลชีพ เชื้อรา และเพื่อปกป้องเซลล์ประสาทจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ (oxidative stress ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเรื้อรังมากกว่า 70 ชนิด ซึ่งเป็นพื้นฐานของโรคหลอดเลือดหัวใจเกร็งตัวมะเร็ง โรคลมปัจจุบัน ข้อต่ออักเสบ การแข็งตัวของเนื้อเยื่อซ้ำซ้อน อัลไซเมอร์ และความเสื่อมเฉพาะจุด เป็นกระบวนการเดียวกับการที่ทำให้เหล็กเกิดสนิม หรือชิ้นแอปเปิ้ลที่ตัดแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล)

ศาสตราจารย์ชงธรรม ระบุว่า หน่อไม้มีแคลอรีต่ำ ใยอาหารสูง และอุดมไปด้วยสารอาหารรวมทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต กรดอะมิโน แร่ธาตุ ไขมัน น้ำตาล ใยอาหาร และเกลืออนินทรีย์

“หน่อไม้เป็นแหล่งที่ดีของแร่ธาตุซึ่งประกอบด้วย โพแทสเซียม แคลเซียม แมงกานีส สังกะสี โครเมียม ทองแดง และเหล็กเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งฟอสฟอรัสและซีลีเนียมในปริมาณที่น้อยกว่า”

นอกจากนั้นหน่อไม้สดยังเป็นแหล่งที่ดีของไธอะมีน (วิตามินบี 1) ไนอะซิน (วิตามินบี 3) วิตามินเอ        วิตามินบี 6 และวิตามินอี และเป็นที่รู้จักกันว่ามีกรดอะมิโนที่แตกต่างกัน 17 ประเภท และในกลุ่มนี้มี    8 อย่างที่มีความจำเป็นสำหรับร่างกายมนุษย์

  1. เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ก่อนที่จะนำหน่อไม้มาประกอบอาหาร ให้ต้มในน้ำเดือดนานอย่างน้อย 10 นาที เพื่อลดระดับของสารไซยาไนด์
  2. กรณีหน่อไม้ปี๊บ ให้ต้มในน้ำเดือดเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที เพื่อฆ่าเชื้อคลอสทริเดียม โบทูลินัม และเทน้ำที่ใช้ต้มทิ้ง ห้ามนำมาใช้ปรุงอาหาร
  3. ผู้ป่วยเป็นโรคเกาต์ ไม่ควรรับประทาน เพราะในหน่อไม้มีสารพิวรินสูง สารชนิดนี้อาจจะทำให้กรดยูริกสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเกาต์ (กรดยูริกเป็นสารที่เกิดจากการเผาผลาญของพิวรีน มีมากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ และพืชผักอ่อนโดยเฉพาะหน่อไม้)

เผยแพร่ครั้งแรกวันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ.2560