เผยแพร่ |
---|
เมื่อพูดถึง “กะทิ” หลายคนคงนึกถึงหัวใจของเมนูอาหารไทยทั้งคาวและหวาน ไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน ห่อหมก หรือขนมครก แต่เคยสงสัยกันไหมว่า “หัวกะทิ” กับ “หางกะทิ” ที่มักถูกพูดถึงในสูตรอาหารต่างๆ นั้นต่างกันอย่างไร? มาดูกันแบบละเอียดเข้าใจง่าย พร้อมเคล็ดลับการใช้ให้เหมาะกับอาหารแต่ละจาน
หัวกะทิ คืออะไร?
หัวกะทิ คือส่วนของกะทิที่ได้จากการคั้นมะพร้าวขูดครั้งแรกโดยไม่ผสมน้ำ หรือใช้น้ำน้อยที่สุด มีลักษณะเป็นครีมข้น หนา และมีความมันสูง เพราะมีปริมาณน้ำมันมะพร้าวเข้มข้น หัวกะทิเป็นตัวชูรสสำคัญของเมนูที่ต้องการความมันละมุน เช่น
- แกงกะทิที่ต้องการให้มีกลิ่นหอมมัน เช่น แกงเขียวหวาน
- ขนมหวาน เช่น ขนมหม้อแกง ขนมครก
- น้ำพริกกะทิ เช่น น้ำพริกกุ้งเสียบ
หางกะทิ คืออะไร?
หางกะทิ คือกะทิที่ได้จากการคั้นครั้งที่สองหรือครั้งถัดๆ ไป โดยเพิ่มน้ำลงในกากมะพร้าวขูดจากการคั้นครั้งแรก หางกะทิมีลักษณะเหลวกว่า ความมันน้อยกว่า และเนื้อสัมผัสบางเบากว่าหัวกะทิ เหมาะสำหรับเมนูที่ต้องการเพิ่มความกลมกล่อมโดยไม่ให้หนักหรือมันเกินไป เช่น
- การทำแกงเพื่อให้มีน้ำแกงเยอะ เช่น แกงเลียง หรือแกงส้ม
- ใช้แทนน้ำในขั้นตอนต้มอาหาร
วิธีการแยกหัวกะทิและหางกะทิ
- ขูดเนื้อมะพร้าวสด 1 ลูก (ประมาณ 400-500 กรัม)
- คั้นมะพร้าวขูดครั้งแรกโดยไม่เติมน้ำ จะได้ “หัวกะทิ” ข้นมัน
- เติมน้ำอุ่นในกากมะพร้าวที่คั้นเสร็จแล้ว จากนั้นคั้นครั้งที่สองหรือสาม จะได้ “หางกะทิ”
หากใช้กะทิกล่องที่ขายตามท้องตลาดก็สามารถแยกหัวและหางได้ง่ายๆ โดยการพักกะทิไว้ในตู้เย็น 1-2 ชั่วโมง เมื่อกะทิแยกชั้น ส่วนข้นด้านบนจะเป็นหัวกะทิ ส่วนเหลวด้านล่างจะเป็นหางกะทิ
เคล็ดลับการใช้หัวกะทิและหางกะทิในอาหาร
- หัวกะทิ ควรใส่ในขั้นตอนสุดท้ายหรือใกล้เสร็จเพื่อไม่ให้แตกมันเร็ว
- หางกะทิ ใช้ในขั้นตอนการต้มและเคี่ยวเพื่อละลายเครื่องแกงและเพิ่มน้ำซุป
ทำไมการเลือกใช้หัวและหางกะทิจึงสำคัญ?
การเลือกใช้หัวกะทิหรือหางกะทิในเมนูอาหารไทยไม่ได้เป็นแค่เรื่องของรสชาติ แต่ยังช่วยสร้างเนื้อสัมผัสและความสมบูรณ์แบบในจานอาหารอีกด้วย การใช้กะทิอย่างเหมาะสมจะช่วยดึงเสน่ห์ของอาหารไทยออกมาได้อย่างเต็มที่
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หัดเข้าครัวหรือมือโปรที่อยากเพิ่มเสน่ห์ปลายจวัก หัวกะทิและหางกะทิที่ใช้อย่างถูกต้องจะช่วยทำให้อาหารของคุณออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด