ของขวัญจากก้อนดิน สืบสานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นแนวทางการจัดทำโครงการซีเอสอาร์ “กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว” ตั้งแต่ปี 2550 เพื่อให้โอกาสนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และอาชีวะระดับ ปวช. ทั่วประเทศ ส่งโครงการเข้าประกวดเพื่อชิงทุนการศึกษาและนำไปต่อยอดโครงการ

ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา มีสถาบันการศึกษาสมัครร่วมโครงการ รวมกว่า 470 โครงการ ภายใต้ธีมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ช่วยให้ชุมชน สังคม และองค์กรอยู่ได้อย่างเป็นสุขและเจริญก้าวหน้า และเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เป็นการประกวดโครงการรอบสุดท้ายที่เข้ารอบชิงชนะเลิศจำนวน 11 ทีม (จากทีมที่สมัครทั้งหมด 218 ทีม) ท่ามกลางความตื่นเต้นของทีมที่เข้าชิง เพื่อนำเสนอโครงการและตอบคำถามของคณะกรรมการ ภายในเวลาที่กำหนดให้ 15 นาที

อาจารย์สมเกียรติ แซ่เต็ง

คุณศิริพร นพวัฒนพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2550 เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา จึงนำบทสรุปหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ที่เป็นคำสอนและหลักทรงงานของพระองค์ท่าน มาเผยแพร่ให้กระจายเติบโตเหมือนต้นกล้า จึงเป็นที่มาของ กิจกรรม กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว และเมื่อจบโครงการไปแล้วยังคงสืบสานต่อไป มีการประเมินผลเพื่อเรียนรู้ นำไปปรับปรุงพัฒนาเพิ่มขึ้น เพราะเป็นหลักของความเป็นจริงใช้ได้กับทุกคน ทุกสถานะ ทุกวัย และทุกอาชีพที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมที่ดี

ทีมเขาน้อย ณิชชา วรัญญู เบญญภา สร้อยทิพย์ และ สุตตนา

เขาน้อยวิทยาคม

ของขวัญจากดิน

อาจารย์สมเกียรติ แซ่เต็ง และ อาจารย์สุรักษ์ สุทธิพิบูลย์ อาจารย์โรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด 1 ใน 11 ทีมที่ได้รับคัดเลือกเข้ารอบชิงชนะเลิศและได้รับรางวัลชมเชย กล่าวว่า โรงเรียนได้น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนและชุมชนในท้องถิ่นอยู่แล้ว เมื่อมีโครงการต้นกล้าสีขาว เห็นว่าสอดรับกับกิจกรรมที่โรงเรียนทำอยู่ จึงสนับสนุนให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายรวมทีมกัน 5 คน สมัครเข้าร่วมโครงการ ใช้ชื่อ ทีมเขาน้อย โดยเขียนแผนงานส่งเข้าไปสมัคร ใช้ชื่อโครงการว่า “ของขวัญจากดิน” และปรับเปลี่ยนกิจกรรมให้มีความเด่นชัดขึ้นตามหลักเกณฑ์ของกิจกรรมกรุงไทย ต้นกล้าสีขาว เช่น การสื่อสารกับชุมชน การขยายผลกับชุมชน การให้ชุมชนมามีส่วนร่วมและการบริหารโครงการแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง

ทีมเขาน้อย ประกอบไปด้วยสมาชิก 5 คน คือ นางสาวสร้อยทิพย์ พันธ์พิริยะ นางสาวสุตตนา ช่วยดี นางสาวณิชชา หนองแพ นางสาวเบญญภา บางชะลา และ นายวัญญู ทองคำ และมี อาจารย์สุรักษ์ สุทธิพิบูลย์ เป็นที่ปรึกษา

คุณสนิท (ที่ 3 จากซ้าย) อาจารย์สมเกียรติ อาจารย์สุรักษ์

นางสาวสร้อยทิพย์ ตัวแทนจากทีมเขาน้อย เล่าถึงที่มาของโครงการของขวัญจากดินว่า ด้วยจังหวัดตราดเป็นเมืองเกษตรกรรม รวมทั้งชุมชนบริเวณรอบๆ โรงเรียน ชาวสวนชาวไร่นิยมใช้สารเคมีเป็นปุ๋ย และฉีดยาฆ่าแมลง พืชผักที่จำหน่ายในตลาดมีปริมาณสารเคมีตกค้างทำให้เป็นอันตรายต่อเกษตรกรและผู้บริโภค และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนการผลิต เราจึงต้องการให้ชุมชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สารเคมีมาใช้วิถีธรรมชาติ โดยทำเกษตรอินทรีย์นั่นเอง

ทีมเขาน้อยจึงศึกษาข้อมูลเชิงลึกตัวอย่างจากการสำรวจสภาพดินสวนของเกษตรกรในชุมชนบ้านห้วยแร้ง หมู่ที่ 8 พบว่าแร่ธาตุหลัก NPK หรือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ของชาวสวนถูกทำลายไป เนื่องจากการใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงสารเคมีทำการเกษตร จึงเลือกตัวอย่างเกษตรกรเพื่อนำเกษตรอินทรีย์เข้าไปใช้ทดแทนเป็นกรณีศึกษาเพื่อขยายผลต่อไปในชุมชน

คุณสนิท กั้งปู่

 การเข้าถึงเกษตรกรในชุมชน

ปรับทัศนคติทำให้เห็น

“ทีมงานเขาน้อย” เล่าถึงกระบวนการขับเคลื่อน โครงการ ของขวัญจากดิน ว่ามีจุดประสงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สารเคมีมาเป็นวิถีธรรมชาติ คือให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ แต่ไม่กล้าบอกชาวบ้านตรงๆ เพราะเกษตรกรมีความเคยชินกับการใช้สารเคมี ที่สะดวก รวดเร็ว หาซื้อง่าย และเห็นว่าได้ผลผลิตดี

จึงค่อยๆ เริ่มจากขั้นตอนที่ 1 สร้างองค์ความรู้ การค้นหาคำตอบจากปัญหาการใช้สารเคมี โดยหาความรู้จากสำนักงานเกษตร สำนักงานพัฒนาที่ดิน และจากปราชญ์ชาวบ้านหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้

ขั้นตอนที่ 2 เผยแพร่องค์ความรู้สู่คนในครอบครัว รอบตัว รอบข้าง ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเกษตรกรที่นิยมใช้สารเคมี โดยเริ่มจากครอบครัวแกนนำทีมเขาน้อยทั้ง 5 คนก่อน

จากนั้นขั้นตอนที่ 3 ขยายผลสู่คนรอบตัวพ่อแม่ของน้องๆ ภายในโรงเรียน และชุมชนรอบข้าง เปรียบเสมือนสร้างรากแก้วและรากแขนงให้ลำต้นคือตัวโครงการเติบโต ทั้งนี้ กระบวนการทำงานจะใช้ทีมงานเขาน้อย 5 คนเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนร่วมกับปราชญ์ชาวบ้านและเกษตรกรที่มีใจรักเกษตรอินทรีย์ที่เป็นสวนนำร่อง โดยมีโรงเรียนเป็นศูนย์เรียนรู้

คณะกรรมการ

“จุดเริ่มต้นใช้หมู่บ้านห้วยแร้ง หมู่ที่ 8 อยู่บริเวณที่ตั้งของโรงเรียน เพื่อให้โรงเรียนเป็นศูนย์บริการเรียนรู้ที่ผู้ปกครอง ชุมชน สามารถเดินทางมาสะดวก การขยายเครือข่ายโครงการของขวัญจากดิน จะเริ่มจากครอบครัวของแกนนำทีมเขาน้อย ซึ่งเปรียบเสมือนรากแก้วและขยายผลไปรอบๆ ตัว คือผู้ปกครองนักเรียนและไปสู่ชุมชน เปรียบเสมือนรากแขนงทำให้โครงการของขวัญจากดินมีลำต้นแข็งแรง มั่นคง โรงเรียนเป็นศูนย์เรียนรู้ การทำปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก น้ำชีวภาพ น้ำหมักมูลไส้เดือน เชื้อราไตรโคเดอร์มา ทำให้ชุมชนเห็น เรียนรู้ และพัฒนา เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าโครงการเป็นสวนเกษตรอินทรีย์นำร่อง นำกลับไปใช้จริง ให้ชุมชนได้เห็นประโยชน์และความแตกต่างจากการใช้สารเคมี เป็นการขับเคลื่อนหมุนอย่างเป็นระบบ” นางสาวสุตตนา กล่าว

กรณีศึกษานำร่องสวนเกษตรอินทรีย์

ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ สุขภาพดี

คุณสนิท กั้งปู่ เกษตรกรในชุมชน หมู่บ้านห้วยแร้ง หมู่ที่ 8 สวนเกษตรอินทรีย์ที่เป็นกรณีศึกษาของโครงการของขวัญจากดิน เล่าว่า ทำสวนผลไม้ เงาะ ทุเรียน มังคุด ลองกอง จำนวน 5 ไร่ เมื่อก่อนใช้เคมี 100% ทั้งปุ๋ย ยาฆ่าแมลง แต่มาระยะหลัง 3 ปี ค่อยๆ ปรับเป็นปุ๋ยอินทรีย์เพราะสุขภาพเริ่มไม่ดี พอปีที่ 4 ได้เรียนรู้จากกลุ่มเด็กนักเรียน ที่นำปราชญ์ชาวบ้านไปให้ความรู้ เรียนรู้เองจากยูทูปเพิ่มเติมเอง ตอนนี้ได้ปรับเป็นอินทรีย์ 70% เคมีเหลือ 30% ซึ่งปุ๋ยอินทรีย์ทำเองใช้หัวเชื้อธาตุหลัก NPK มาหมัก ทำปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน น้ำจุลินทรีย์ เชื้อราไตรโคเดอร์มาทำเองทั้งหมด ทำให้ลดต้นทุนได้มาก และรายได้เพิ่มขึ้นปี 2559

ลานนิทรรศการ ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่

เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาเคยใช้เงินซื้อปุ๋ยเคมีปีละ 15,000-18,000 บาท มีรายได้ 100,000 บาท ปรับเปลี่ยนใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 70% ค่าปุ๋ยอินทรีย์ 5,000 บาท มีรายได้ 300,000 บาท เพราะค่าปุ๋ยอินทรีย์ถูกกว่าและผลไม้มีคุณภาพลูกใหญ่ ผลสวยทำให้ได้ราคา ที่สำคัญเมื่อตรวจสุขภาพประจำปีไม่มีปัญหา

“อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้ได้ 80-90% ปัญหาสำคัญต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของเกษตรกรที่เคยใช้ปุ๋ยยาเคมีให้ปรับตัว เพราะต้องวางแผนการทำปุ๋ยอินทรีย์ชนิดต่างๆ ใช้เวลา 1-2 เดือน ต้องมีเวลาและไม่เป็นสวนที่มีขนาดใหญ่มาก ยกเว้นที่แรงงานมากพอ ขนาดสวนที่เหมาะสมคือ 4-5 ไร่ ต่อครอบครัว เกษตรกรต้องใจรัก อดทน และมีความตั้งใจทำจริง”

“ซึ่งสิ่งที่เห็นผลชัดเจนคือ ประหยัดต้นทุน สุขภาพดีขึ้น จากเคยตรวจพบมีสารเคมีตกค้างในเลือดตอนนี้ไม่มีแล้ว การทำปุ๋ยแต่ละชนิดไม่ยุ่งยากแต่ต้องใช้เวลาหมัก เช่น การทำน้ำจุลินทรีย์ใช้ไข่ไก่ ผงชูรส น้ำปลา น้ำเปล่ามาผสมกันตามอัตราส่วน เขย่าให้เข้ากัน นำไปตากแดดทิ้งไว้ 1 เดือน จากนั้นนำไปผสมน้ำใช้ราดบนดิน หรือโคนต้นไม้จะช่วยบำรุงรากและช่วยฟื้นฟูความสมบูรณ์ของธาตุอาหารคืนมา และใช้ผสมน้ำฉีดบำรุงใบได้ หรือการฉีดพ่นฆ่าแมลงต้นมังคุดที่ออกผลต้องฉีดถึง 3 ครั้ง ใช้ยาฉุน ตะไคร้หอมสับ หมักเหล้า น้ำส้มสายชู ทิ้งไว้ 2 เดือน นำมาผสมน้ำฉีดฆ่าแมลงแทนการใช้ยา” คุณสนิท กล่าว

“โครงการ ของขวัญจากดิน สมดังปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงปลูกไว้ มิใช่เพียงแค่ทรงปลูกต้นไม้ แต่เป็นความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืนที่เกิดกับประชาชนคนไทย” นายวัญญู กล่าวทิ้งท้าย

ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยอินทรีย์

อาจารย์สมเกียรติ แซ่เต็ง หัวหน้าฝ่ายวิชาการของโรงเรียนเขาน้อยวิทยาคม กล่าวย้ำว่า โครงการของขวัญจากดิน ตามแนวทางน้อมนำหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โรงเรียนจะนำไปต่อยอด สร้างและพัฒนาให้ประสบความสำเร็จในชุมชน โดยมีการขับเคลื่อนจากแกนนำสภานักเรียนและโรงเรียนเป็นศูนย์การเรียนรู้ คู่กับปราชญ์ชาวบ้านเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับวิถีชีวิตชุมชนให้อยู่อย่างมีความสุข

เชื้อจุลินทรีย์หมักใช้งาน ทิ้งไว้ 1 เดือน

สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ อาจารย์สมเกียรติ แซ่เต็ง โทร. (086) 511-3317 หรือ เฟซบุ๊ก KN”4H Club