ใต้ตาหมองคล้ำชวนหนักใจ จัดการได้ด้วยวิธีนี้

ปัญหาความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา เป็นอะไรที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับหลายๆ คนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาถ่ายรูปหรือส่องกระจกแล้วใบหน้าปรากฏให้เห็นถึงความหมองคล้ำ ดูโทรมจากใต้ตา นั่นเป็นอีกหนึ่งสัญญาเตือนว่าผิวของเรากำลังมีกระบวนการทำงานที่เสื่อมประสิทธิภาพลง แน่นอนว่าหากเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากเห็นมันโดดเด่นของบนใบหน้าของเราอยู่แล้วจริงไหมคะ ? เพราะฉะนั้นวันนี้ใครที่กำลังมองหาทริคดีๆ สำหรับการลดเลือนความหมองคล้ำใต้ตาต้องห้ามพลาดเลยค่ะ เพราะเราจะไม่แชร์ข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดปัญหา รวมไปถึงวิธีการแก้ไขที่สามารถทำได้ง่ายๆ ไปจนถึงวิธีที่จะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วเพื่อเป็นทางเลือกให้กับทุกๆ คนค่ะ

รู้หรือไม่ ? ความหมองคล้ำบริเวณใต้ตาเกิดจากอะไร

ความหมองคล้ำที่เกิดขึ้นบริเวณใต้ดวงตาเป็นปัญหาผิวรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าของเราดูมีอายุ เหนื่อยล้า ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นจากเส้นเลือดบริเวณรอบดวงตามีการไหลเวียนผิดปกติ จึงทำให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือดดำจนทำให้เกิดรอยคล้ำขึ้นในที่สุด นอกจากนี้ ยังเป็นผลมาจากเม็ดสีที่สะสมมากกว่าปกติตรงบริเวณใต้ตา โดยสิ่งเหล่านี้มักเป็นผลมาจากสาเหตุหลักๆ ดังนี้

1. อายุที่เพิ่มมากขึ้น

เรียกได้ว่ามันเป็นปัจจัยที่ใครก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริงๆ ค่ะ เมื่อเราอายุเพิ่มมากขึ้นแล้วกระบวนการทำงานต่างๆ ภายในร่างกายก็เริ่มมีประสิทธิภาพลดลง ไขมันที่อยู่ระหว่างกล้ามเนื้อและผิวหนังก็ฝ่อตัวลง ทำให้เกิดความหย่อนคล้อย ถุงใต้ตา รวมไปถึงความหมองคล้ำบริเวณใต้ตาด้วยค่ะ นอกจากนี้ ร่างกายเรายังมีการผลิตสารที่มีความสำคัญต่อระบบโครงสร้างผิวลดลงไปด้วย อย่างเช่น คอลลาเจน กรดไฮยาลูรอน อีลาสติน ซึ่งสารเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการช่วยพยุงผิวให้มีความเต่งตึง ชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นที่ดี และช่วยให้ผิวกระจ่างใส ดังนั้น เมื่อร่างกายมีกระบวนการทำงานที่เสื่อมสภาพลงผิวก็จะขาดความแน่นกระชับ มีความหย่อนคล้อยหรือเกิดเป็นรอยคล้ำที่ยากจะแก้ไข

2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

ไม่ว่าจะเป็นความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ การขยี้ตาบ่อยหรือการใช้สายตาทำงานอย่างหนักมากเกินไป ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนที่ทำให้ดวงตาเกิดความเหนื่อยล้า หลอดเลือดบริเวณรอบดวงตามีการขยายใหญ่ขึ้นจนทำให้เกิดความหมองคล้ำรองดวงตา รวมไปถึงการมีถุงใต้ตาร่วมด้วย หากเรายังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดปัญหาฝังลึกมากยิ่งขึ้น

Advertisement

3. พันธุกรรม

พันธุกรรมมีส่วนที่ทำให้บางคนมีโอกาสเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น หรือสามารถเกิดได้ง่ายขึ้นค่ะ นั่นมาจากโครงสร้างของผิวที่มีกระบวนการทำงานที่แตกต่างกัน สารต่างๆ ภายในร่างกายมีปริมาณที่ไม่เท่ากันเป็นเป็นผลมาจากพันธุกรรมที่มีมาตั้งแต่กำเนิด เช่น บางรายครอบครัวมีผิวสีเข้ม

Advertisement

4. รังสียูวี

ตัวการทำร้ายผิวอันดับต้นๆ เลยก็คือรังสียูวีจากแสงแดดนี่แหละค่ะ เพราะถ้าหากว่าผิวของเราได้รับรังสียูวีเป็นประจำ ไม่ได้มีการป้องกันที่ดีพอมันอาจจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้ผิวของเราเกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความคล้ำเสีย ที่นอกจากจะปรากฏขึ้นตามร่างกายแล้ว บริเวณรอบดวงตาเราก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วยค่ะ นอกจากนี้ รังสียูวียังเข้ามาทำลายระบบการสร้างคอลลาเจน อีลาสตินใต้ชั้นผิวอีกด้วย

5. โรคประจำตัว

ผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคภูมิแพ้มักมีปัญหาใต้ตาหมองคล้ำร่วมอยู่ด้วย เนื่องจากเมื่อร่างกายเกิดอาการแพ้มันจะปล่อยฮีสตามีนออกมาเพื่อตอบสนองกับแบคทีเรียที่เป็นอันตราย ซึ่งฮีสตามีนเป็นตัวการที่ทำให้เส้นเลือดดำเกิดการขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าปกติ จึงทำให้เห็นรอยคล้ำได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันโรคภูมิแพ้ยังทำให้เกิดอาการคันหรือการระคายเคืองบริเวณรอบดวงตาตามมา หลายคนจึงอดไม่ได้ที่จะต้องขยี้ตา ซึ่งเมื่อขยี้ตาบ่อยๆ ผิวบริเวณนั้นถูกรบกวนอย่างหนักจึงเป็นตัวกระตุ้นให้ความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา

นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นปัจจัยการเกิดปัญหาใต้ตาคล้ำ เช่น การแพ้เครื่องสำอาง แพ้อายครีมหรือความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย อยากให้ลองสำรวจตัวเองสักนิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเรานั้นมันมาจากสาเหตุอะไรกันแน่ เพื่อที่เราจะได้มีการฟื้นบำรุงผิวได้อย่างถูกวิธีนั่นเองค่ะ

จัดการใต้ตาคล้ำได้ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงแค่ทำสิ่งนี้ !!

เมื่อเรารู้สาเหตุของการเกิดปัญหาแล้ว ต่อมาก็มาดูวิธีฟื้นฟูผิว เติมเต็มความสดใสให้กับดวงตาด้วยวิธีการง่ายๆ ที่เราสามารถทำเองได้ที่บ้าน ยิ่งหมั่นทำเป็นประจำให้เคยชินและทำความเข้าใจกับปัญหาผิวบอกได้เลยว่าผิวของเราจะไม่ได้ดีขึ้นแค่รอบดวงตา เพราะสุขภาพผิวหน้าของเราก็จะต้องดีตามไปด้วยอย่างแน่นอนค่ะ

1. บำรุงรอบดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติ

เราสามารถบำรุงผิวบริเวณใต้ตาได้ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติที่หาได้ง่ายๆ เช่น การนำแตงกวาฝานเป็นแผ่นบางๆ ไปแช่ตู้เย็นแล้วนำมาประคบที่ดวงตาทั้งสองข้าง หรือการนำเอาใบบัวบกมาปั่นแล้วนำน้ำใบบัวบกมาพอกทิ้งวที่ใต้ตาจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวได้ดี นอกจากนี้ ก็ยังมีการใช้ว่านหางจระเข้สด มะขามเปียก นมสดมาช่วยเพิ่มความกระจ่างใส ให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น

2. การเลือกใช้อายครีม

อายครีมก็คือผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อฟื้นฟูผิวบริเวณรอบดวงตาโดยเฉพาะ โดยมีให้เลือกใช้หลายแบบตั้งแต่เนื้อเจล เนื้อครีมหรือแบบน้ำ ที่อุดมไปด้วยสารสกัดความเข้มข้นสูงในการจัดการกับปัญหารอบดวงตา ซึ่งเทคนิคการเลือกใช้อายครีมก็จะเหมือนการเลือกสกินแคร์เลยค่ะ โดยที่เราต้องเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาบริเวณรอบดวงตาของเรา เช่น ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยร่วมด้วยแนะนำให้เป็นเนื้อครีม หรือใครที่ต้องการเติมเต็มความชุ่มชื้นแนะนำให้ใช้เป็นเนื้อบางเบา เซรั่ม และที่สำคัญคือควรทาในปริมาณที่พอดีหรือขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเขียวก็เพียงพอแล้วค่ะ

3. การประคบเย็นช่วยบำรุงได้

หลายคนคิดว่าการประคบเย็นจะช่วยบรรเทาอาการบวมได้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันยังสามารถช่วยหดหลอดเลือดที่ขยายตัวได้อีกด้วยจึงทำให้มันช่วยลดเลือนความหมองคล้ำบริเวณใต้ตาได้ วิธีการก็คือให้นำผ้าสะอาดมา 1 ผืนแล้วใส่น้ำแข็งก้อนเข้าไป 2-3 ก้อนแล้วค่อยๆ นำมาประคบเรื่อยๆ ที่รอบดวงตาสามารถทำแบบนี้ได้ทุกวัน วันละ 15-20 นาที

4. หมั่นทำครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน

ครีมกันแดดมีความจำเป็นอย่างมากและไม่ควรละเลย ในปัจจุบันก็จะมีรองพื้นผสมครีมกันแดดร่วมอยู่ด้วยเราสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นให้ตรงกับสภาพผิวของเรา หรือหากเลือกใช้ครีมกันแดดแนะนำว่าให้ทาครีมบำรุงที่มีค่า SPF50 PA++ รวมถึงการพกร่ม หมวก หรือการสวมใส่ชุดที่สามารถปกปิดผิวให้ห่างไกลจากแสงแดด ควรทำให้ติดเป็นนิสัยจะช่วยไม่ให้เกิดปัญหาความหมองคล้ำที่เพิ่มมากขึ้น

5. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายผิว

หากไม่อยากให้ใต้ตาเกิดเป็นความหมองคล้ำที่ฝังลึกมากขึ้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงการขยี้ตา หลีกเลี่ยงการใช้สายตาเพ่งกับหน้าจอมือถือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป ให้ดวงตาของเราได้รับการผ่อนคลายอย่างเต็มที่จากการทำกิจกรรมอื่นๆ หาวิธีผ่อนคลายความเครียด และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ได้มาตรฐาน เหมาะกับสภาพผิว

6. การเลือกกินช่วยได้

ก่อนหน้านี้ใครที่กำลังตามใจปากอยู่เห็นทีต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินแล้วล่ะค่ะ เพราะเราสามารถจัดการกับใต้ตาแพนด้าได้ด้วยอาหารที่มีคุณประโยชน์ เช่น มะเขือเทศ แตงกวา ฟักทอง กะหล่ำปลี ถั่วเหลือง แตงโม กีวี สตรอเบอร์รี หรืออาหารที่ให้วิตามินซีและอี เพราะสรรพคุณในอาหารเหล่านี้มีองค์ประกอบในการผลัดเซลล์ผิว ช่วยกระบวนการไหลเวียนของเลือดและการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยให้มีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการรับประทานเหลือและน้ำตาลที่เป็นสาเหตุของอาการบวมน้ำบริเวณใต้ตา

7. ผ่อนคลายความเครียด นอนให้เพียงพอ

เมื่อร่างกายได้รับความผ่อนคลาย หรือได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอต่อความต้องการ นอกจากจะช่วยให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีขึ้นแล้ว สุขภาพจิตและสุขภาพผิวของเราก็จะยิ่งดีขึ้นตามไปด้วย ดวงตาไม่ทำงานหนักมากจนเกินไปและได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังทำให้กระบวนการทำงานของเซลล์ผิวมีประสิทธิภาพขึ้น เป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่เราไม่ควรมองข้ามไปเป็นอันขาด

ทางเลือกที่ดีที่สุด ! หมดปัญหาใต้ตาหมองคล้ำด้วยโปรแกรมฟิลเลอร์ใต้ตา

“ฟิลเลอร์” เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินคำนี้กันดีอยู่แล้ว แต่จะขอมาอธิบายสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักโปรแกรมความงามนี้นะนะคะ ฟิลเลอร์ เป็นหัตถการทางการแพทย์ที่ใช้สารประเภท Hyaluronic Acid (HA) ฉีดเข้าไปเพิ่มเติมเต็มใต้ชั้นผิวในตำแหน่งที่เราต้องการแก้ไขปัญหา ซึ่งคุณสมบัติของฟิลเลอร์ก็จะช่วยเติมเต็มผิวให้ดูแน่นกระชับขึ้น ให้ความชุ่มชื้น กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน แก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึกให้ตื้นขึ้น พร้อมคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้า

อย่างการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา (Under Eye Filler) ก็จะเป็นการใช้สารเติมเต็มเข้าไปฟื้นฟูบริเวณใต้ดวงตาให้กลับมาเต่งตึง ให้ผิวในบริเวณนั้นดูแน่นกระชับขึ้นจากเดิม มีน้ำมีนวล ช่วยจัดการริ้วรอยร่องลึกและช่วยเติมเส้นใยคอลลาเจนที่หายไปพร้อมมอบความกระจ่างใสให้กับใต้ตาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ* (ผลการรักษาขึ้นอยู่กับรายบุคคล)

ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นอันตรายรึเปล่า ?

ใครที่กังวลว่าแล้วสารชนิดนี้มีความปลอดภัยต่อผิวของเรามากน้อยแค่ไหน ฉีดไปแล้วจะเกิดอันตรายขึ้นไหม ? บอกได้เลยว่าสารเติมเต็ม HA เป็นสารที่เลียนแบบขึ้นมาจากสารที่มีอยู่ในร่างกายของเราตามธรรมชาติอยู่แล้ว จากผลการทดลองของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมันสามารถเข้ามาฟื้นฟูผิวของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เป็นอันตรายต่อผิว เมื่อเวลาผ่านไปตัวสารยังสามารถสลายไปได้เองไม่ทิ้งสารตกค้างที่แพทย์ความงามทั่วโลกให้การยอมรับ แต่! ควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านฟิลเลอร์เท่านั้น และไม่ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ซื้อมาเองจากท้องตลาด เพราะฟิลเลอร์เหล่านั้นอาจไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานหรือเป็นฟิลเลอร์เถื่อนได้ค่ะ

ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใครบ้าง ?

ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาบริเวณใต้ตาต้องการฟื้นฟูเติมเต็มอย่างเร่งด่วน โดยจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาดังนี้

  • เหมาะกับคนที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ ทำให้ใบหน้าดูโทรม
  • เหมาะกับคนที่มีปัญหาถุงใต้ตา
  • เหมาะกับคนที่มีปัญหาเบ้าตาลึก
  • เหมาะกับคนที่มีปัญหาริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา ผิวหย่อนคล้อย

หลังฉีดไปแล้วจะเห็นผลลัพธ์ได้ตอนไหน ?

เมื่อฉีดเสร็จเราจะสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงบริเวณใต้ตาที่ดีขึ้นประมาณ 20-30% เลยค่ะ ดวงตาจะดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อผ่านไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ก็จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำไมการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน

โดยเฉลี่ยแล้วผลลัพธ์ในการฉีดแต่ละครั้งจะอยู่ที่ 6 เดือนไปจนถึง 1 ปีครึ่งเลยค่ะ มันขึ้นอยู่กับปัจจัยสภาพผิวของแต่ละคน รวมถึงชนิดของฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเพราะบางรุ่นมีความคงตัวอยู่ได้นาน บางรุ่นอยู่ได้ไม่นาน อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของเราด้วยค่ะ

ความโดดเด่นของโปรแกรมฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ฟื้นฟู แก้ไขปัญหาความหมองคล้ำ ผิวหย่อนคล้อย รวมไปถึงริ้วรอยร่องลึกใต้ตาได้อย่างตรงจุด
  • หลังทำเพียงครั้งแรกก็เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องรอนานตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ใกล้ออกงานสำคัญ หรือไม่มีเวลาในการดูแลตัวเอง
  • เป็นสารเติมเต็มที่ได้มาตรฐาน วงการแพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับแล้วว่ามีความปลอดภัยสูง มีกระบวนการผลิตที่ถูกคัดมาแบบพิเศษ และเข้ากันได้ดีกับผิวหนังของเรา
  • จัดการปัญหาใต้ตาหรือความหมองคล้ำได้อย่างตรงจุด เข้าไปกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวเกิดความกระชับ เต่งตึง เรียบเนียน ให้ผิวดูสดใสขึ้น
  • มีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หลังทำไม่ต้องพักฟื้นกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรเตรียมตัวยังไงบ้าง

  1. ก่อนทำ 24 ชั่วโมงควรงดการรับประทานอาหารเสริม วิตามิน หรือยาที่กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
  2. ก่อนทำ 24 ชั่วโมงควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนของการผลัดเซลล์ผิว
  4. เตรียมตัวให้พร้อมก่อนฉีดฟิลเลอร์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  5. หากใครที่มีโรคประจำตัวควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้บริการ

หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควรดูแลตัวเองยังไง

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณใต้ตาทุกรูปแบบ เช่น การนวด การใช้มือถูหรือกดแรงๆ
  2. หมั่นบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานมอยเจอร์ไรเซอร์ หรือส่วนผสมที่ให้ความอ่อนโยนต่อผิว
  3. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (8-10 แก้ว) ให้ผิวมีความชุ่มชื้น
  4. หลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวโดนความร้อน เช่น ความร้อนจากการเป่าผม การอาบน้ำอุ่นๆ การอยู่หน้าเตาร้อน
  5. หากแพทย์มีคำแนะนำเพิ่มเติมควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

5 ทริคการเลือกใช้บริการกับคลินิกฉีดฟิลเลอร์ เช็กเลย! เลือกยังไงให้ปลอดภัย

มีคนจำนวนไม่น้อยที่กลัวการฉีดฟิลเลอร์เพราะกลัวว่าจะตกเป็นเหยื่อคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นคลินิกเถื่อน เราก็เลยมี 5 ทริคง่ายๆ ในการเลือกว่าเราควรเลือกใช้บริการกับที่ไหนจึงจะสามารถไว้วางใจได้ว่ามีความปลอดภัยและได้มาตรฐานดีจริง

1. การเปิดให้บริการอย่างถูกต้อง : เช็กได้จากใบอนุญาตประกอบกิจการ พร้อมด้วยเลขที่อนุญาตประกอบกิจการ 11 หลัก และต้องมีป้ายชื่อคลินิกติดไว้ด้านหน้าอย่างชัดเจน นอกจากนี้ สิ่งที่ควรดูตามมาคือความสะอาดทั้งภายนอกและภายในของคลินิก

2. ให้บริการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิลเลอร์ : แพทย์ประคลินิกเราสามารถเช็กได้จากใบประกอบวิชาชีพ หรือเสิร์จรายชื่อแพทย์ได้จากเว็บไซต์แพทยสภา

3. รีวิวเสียงตอบรับที่ดี : ควรดูรีวิวจากผู้ที่เคยเข้ามาใช้บริการของคลินิกเหล่านั้นว่าหลังฉีดไปแล้วผลลัพธ์ที่ได้ดีขึ้นไหม เกิดผลข้างเคียงตามมาหรือไม่ แนะนำให้เช็กทั้งรูปภาพก่อนทำหลังทำ วิดีโอและไลฟ์สดเพื่อให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

4. ให้การรักษาด้วยฟิลเลอร์แท้ : ทุกครั้งก่อนฉีดแพทย์จะต้องแกะกล่องใหม่ และสามารถให้เรานำมาเช็กกล่องฟิลเลอร์ได้ทุกกล่อง พร้อมสอนวิธีการเช็กอย่างถูกต้อง

5. มีช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน : ช่องทางการติดต่อต้องมีทุกแพลตฟอร์มที่เราสามารถทักเข้าไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดติดตามผลหลังทำได้

สำหรับแนวทางการฟื้นฟูความหมองคล้ำใต้ตาก็มีให้เลือกหลายวิธีขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน บางวิธีก็สามารถกลบรอยคล้ำได้อย่างแนบเนียนภายในระยะเวลาสั้นๆ บางวิธีก็อาจจะต้องใช้ความสม่ำเสมอในการรักษาซึ่งถ้าให้แนะนำวิธีที่สามารถจัดการได้ดีที่สุดก็ต้องเป็นการฉีดฟิลเลอร์ เพราะมันสามารถฟื้นฟูผิวใต้ดวงตาของเราได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังเป็นโปรแกรมที่สามารถเติมเต็มและแก้ไขได้ทั้งปาก ร่องแก้ม หน้าผาก ขมับ คาง ลำคอ มือ และอื่นๆ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลโดยแพทย์ที่มีความชำนาญด้านการฉีดฟิลเลอร์ สามารถประเมินการรักษาและมีวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา และต้องเป็นแพทย์ที่มีความรู้ในการเลือกใช้ชนิดของฟิลเลอร์ได้อย่างตรงจุดกับตำแหน่งที่ต้องการเติมเต็มได้อย่างแม่นยำ หากใครที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษา หรือต้องการปรึกษากับทีมแพทย์ สามารถทักมาได้ตามช่องทางการติดต่อของ Doctor Mek Clinic ได้เลยค่ะ ทีมแพทย์ของเรายินดีให้บริการอย่าใกล้ชิด พร้อมให้คำปรึกษาด้านความงามกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย