เผยแพร่ |
---|
ไอเดียธุรกิจยุคดิจิทัล “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” นวัตกรรม “ช่วยดมกลิ่น” ให้ SME ผลิตอาหารง่ายขึ้น แถมช่วยลดต้นทุน
เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีความก้าวหน้าและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่อยู่รอบตัวแทบจะทุกมิติ อย่างที่ทราบดีว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นสิ่งที่เข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ในการใช้ชีวิตประจำวัน และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ชอบความรวดเร็ว คล่องตัว และช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้น ได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจในหลายๆ อุตสาหกรรมมีข้อมูลที่สะท้อนภาพจากผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมดิจิทัล ในไตรมาส 3 ปี 2565 ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ระบุว่า ในกลุ่มอุตสาหกรรม 5 กลุ่ม ซึ่งประกอบด้วย ซอฟต์แวร์, บริการดิจิทัล, ดิจิทัลคอนเทนต์ และโทรคมนาคม ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 48.6 จาก ระดับ 46 ในไตรมาส 2 ปี 2565
รวมถึงอานิสงส์จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้กำลังซื้อของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ส่งผลดีต่อดัชนีความเชื่อมั่นฯ ไตรมาส 3 แต่ใน ขณะเดียวกันต้นทุนยังคงอยู่ในระดับที่สูง สาเหตุอันเนื่องมาจากราคาน้ำมัน ภาวะสงครามที่ทำให้เกิดปัญหา Supply Shortage และค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้น
หุ่นยนต์ (Robot) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) นับเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อโลกธุรกิจ ซึ่งประเทศไทย ได้แจ้งเกิดนวัตกร (Innovator) ที่สร้างสรรค์ผลงานการประดิษฐ์หุ่นยนต์และเครื่องมือที่ช่วยสำหรับการใช้งานแทนมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ อย่างมากมาย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การแพทย์ การศึกษา รวมถึงการบริการลูกค้า ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าแนวโน้มนี้จะเติบโตในทุกๆ อุตสาหกรรมในทุกปี ตัวอย่างเช่น
ผศ.ดร.ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า ทีมนักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ร่วมกันก่อตั้ง บริษัท MUI Robotics จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจำแนกกลิ่นมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี
ที่ผ่านมา มีการผลักดันงานวิจัยด้านเซ็นเซอร์ไอโอที และระบบเอไอไปสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่านที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาการแพทย์ ในปี 2004 คือ ศ.ริชาร์ด แอ็กเซล (Richard Axel) ศ.ลินดา บัก (Linda B. Buck) ที่ค้นพบกระบวนการ “รับรู้ จำแนก และจดจำกลิ่น” ของมนุษย์ โดยมียีนที่แสดงออกในรูปของโปรตีนหน่วยรับกลิ่น ทำให้เราจดจำกลิ่นได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเครื่องจมูกอิเล็กทรอนิกส์ฝีมือคนไทย ใช้หลักการทำงานของเซ็นเซอร์ตรวจวัดก๊าซหลายชนิดที่ทำงานร่วมกัน โดยทำหน้าที่ตรวจรับกลิ่นเหมือนจมูกมนุษย์ รวบรวมและแปลงสัญญาณไฟฟ้าจากเซ็นเซอร์ เป็นสัญญาณดิจิทัลไปประมวลผลเพื่อจำแนกรูปแบบกลิ่น โดยมีซอฟต์แวร์ทำหน้าที่แยกแยะและจำแนกกลิ่น ที่สามารถแสดงผลในรูปแบบกราฟสำหรับการวิเคราะห์ได้
เทคโนโลยีจมูกอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นและได้รับการพัฒนามานาน โดยคนทั่วไปเข้าใจว่าคือเซ็นเซอร์ตรวจวัดสาร ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จุดเด่นของเครื่องจมูกอิเล็กทรอนิกส์นี้ มีความสามารถในการเปลี่ยนข้อมูลกลิ่นเป็นฐานข้อมูลดิจิทัลที่มีมูลค่าและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล เช่น ฐานข้อมูลดิจิทัลของกลิ่น (Digitalization of smell) ที่ออกแบบเพื่อเป็นตัวชี้วัดสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์กลิ่นสำหรับวินิจฉัยโรคเบาหวาน มะเร็ง การออกแบบกลิ่น รส สำหรับการพัฒนารสชาติอาหารใหม่ หรือกลิ่นดิจิทัลในโลกเมตาเวิร์ส ที่กำลังได้รับการพัฒนาในปัจจุบัน เป็นต้น
คุณวันดี วัฒนกฤษฎิ์ CEO บริษัท MUI Robotics จำกัด กล่าวว่า การดม และวิเคราะห์ จำแนก กลิ่น มีความจำเป็นในอุตสาหกรรมอาหารเป็นอย่างมาก สมัยก่อนต้องใช้แรงงานคนไม่ต่ำกว่า 5 คน เพื่อทดสอบกลิ่นและหาค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์กลิ่นในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นต้นทุนในการผลิต และค่าเฉลี่ยที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อน ไม่แม่นยำ แต่หลังจากวิกฤตการณ์โควิดที่ผ่านมา อาการสูญเสียการรับกลิ่นรสในผู้ป่วยโควิด เป็นอุปสรรคที่ทำให้ความแม่นยำในการวิเคราะห์โดยคนนั้นลดลง จึงเป็นโอกาสให้กับ บริษัทในการเข้าตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากข้อจำกัดเทคโนโลยีจมูกอิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศมีราคาสูง เนื่องจากอุปกรณ์และโปรแกรมควบคุมส่วนใหญ่ผลิตขึ้นจากต่างประเทศ และมีค่าบำรุงรักษาเครื่องที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการปรับการทำงานให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ที่ต้องการทดสอบ Pain Point ดังกล่าว ทำให้บริษัท SME ในประเทศไม่สามารถเข้าถึงได้ MUI Robotics จึงเข้ามาเพื่อช่วยผลักดัน SME ไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพที่แข่งขันได้มากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องจมูกอิเล็กทรอนิกส์แบบกระเป๋าหิ้วรุ่นล่าสุด ที่สามารถตรวจวัดวัตถุได้ทั้ง ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ด้วยการเชื่อมระบบไหลเวียนกลิ่นตัวอย่างบนเครื่องตรวจวัด เพื่อให้ได้ผลวิเคราะห์ที่แม่นยำ
เครื่องจมูกอิเล็กทรอนิกส์ MUI-Nose สามารถให้บริการในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มได้อย่างครอบคลุม ได้แก่ การบริการด้านตรวจวัดกลิ่นวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพ และการวิจัยและพัฒนา ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็ง เนื้อสัตว์แช่แข็ง ข้าว และผลิตภัณฑ์จากพืช อาหารกระป๋อง น้ำมันพืช น้ำอัดลม เป็นต้น ตัวอย่างการตรวจวัดกลิ่น ในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การตรวจวัดกลิ่นโคลนในปลา การตรวจกลิ่นหาข้าวหอมมะลิแท้ การตรวจสอบการคั่วเมล็ดกาแฟ การตรวจสอบกลิ่นใบชาจากแหล่งผลิตแท้ การตรวจหากลิ่นปลอมปน และฟอร์มาลิน เป็นต้น
MUI Robotics ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยต่อยอดธุรกิจเพื่อสตาร์ทอัพไทย จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ซึ่งได้ผลักดันนวัตกรรม “เครื่องจมูกอิเล็กทรอนิกส์” บุกตลาดต่างประเทศ กำลังจำหน่ายเครื่องจมูกอิเล็กทรอนิกส์ไปยังประเทศในเขตอาเซียน และยุโรป รวมถึงการขอมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมขยายการจำหน่ายไปสู่ตลาดยุโรป และตลาดโลก
หุ่นยนต์อุตสาหกรรม มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 19% การพัฒนาของเทคโนโลยี ที่เราได้ยกตัวอย่างเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นของโลกดิจิทัลทั้งหมด ที่ล้วนขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ซึ่งสะท้อนว่า SME จำเป็นต้องยอมรับและยกระดับการเข้าสู่ อุตสาหกรรม 4.0 (INDUSTRY4.0) ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติควบคู่ไปกับหุ่นยนต์อัจฉริยะและเชื่อมโยงกับเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ ทําให้ระบบการผลิตยกระดับจาก LEAN ไปสู่ “CYBER-PHYSICAL PRODUCTION”
โดยสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระบุว่า ผู้ประกอบการ SME ที่มีการนําความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้ในระบบ และปรับตัวได้รวดเร็วจะมีศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเหนือกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในระดับเดียวกันที่ยังไม่ได้ปรับตัว ซึ่งกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มแรกๆ ที่นําระบบนี้มาใช้ ทำให้ได้รับประโยชน์มากกว่าคู่แข่งจากการมีศักยภาพที่สูงกว่า โดยคนที่เริ่มก่อนก็จะเป็นผู้นําก่อน
ทั้งนี้ ธุรกิจร้านอาหารที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากทั้งผู้ประกอบการและการจ้างงานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความครบวงจรในเรื่องของการผลิตอาหารที่มีความพร้อมเป็นครัวของโลก หากมีการส่งเสริมให้เกิดการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ นำ Robotics สร้างเครื่องจักรอัจฉริยะ เพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน และยังสามารถลดต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการ SME ให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น