หนาวแล้ว!! ไปลัดเลาะขุนเขา ใต้เงาดวงตะวัน สรวงสวรรค์แห่งภูเรือ

“ลมฝนอันชุ่มฉ่ำแห่งวสันต์ที่ผ่านพ้น คือเริ่มต้นของลมหนาวแห่งเหมันต์” นี่คือคำพูดที่ผู้เขียนเคยได้ยินมาจากเพื่อนนักเดินทางเมื่อไม่นานนี้

มาวันนี้ขณะทอดสายตาไปข้างหน้าเพื่อรอการกลับมาของดวงตะวันในยามเช้าตรู่ แสงอรุณที่สาดมาทำให้ทัศนียภาพข้างหน้าดูเด่นชัดขึ้น จากม่านหมอกสีขาวสะอาดที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา ตัดกับสีเขียวของบรรดาแมกไม้นานาพันธุ์ของป่าสนเขา

ทั้งหมดนี้คือความอิ่มเอมทุกครั้งเมื่อได้มาเยือนยังอุทยานแห่งชาติภูเรือ ในเหมันตฤดู ทั้งลมหนาว สายหมอก ดอกไม้ หรือแม้แต่การผิงไฟในยามค่ำของที่นี่ ก็มักทำให้เราได้รู้สึกอิ่มกับบรรยากาศไปได้เองเหมือนดังมนต์มาสะกดก็ไม่ปาน

อุทยานแห่งชาติภูเรือมีพื้นที่ประมาณ 120.84 ตารางกิโลเมตร หรือ 75,525 ไร่ ครอบคลุมตั้งแต่อำเภอภูเรือและอำเภอท่าลี่ ของจังหวัดเลย มีอาณาเขตด้านทิศเหนืออยู่ติดกับประเทศลาว ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2522 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 16 ของประเทศไทย

ชื่อภูเรือนี้มาจากไหน? เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ เล่าให้ฟังว่า “ชื่อภูเรือนี้ เรียกกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายแล้ว คงมีที่มาจากลักษณะแหลมคล้ายหัวเรือของภูนั่นแหละ”

จากที่ได้สังเกตดู จะเห็นว่าลักษณะภูมิประเทศของที่นี่จะมีรูปร่างเหมือนกับเรือใหญ่ อันประกอบด้วยทิวเขาสูงสลับซับซ้อนประกอบด้วย ยอดที่สูงสุดนั้นคือ ยอดภูเรือ ซึ่งมีความสูงถึง 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทั้งยังมียอดเขาที่สำคัญ คือ ยอดเขาภูสัน และยอดภูกุ ยอดภูเหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญก่อให้เกิดลำธารหลายสาย เช่น ห้วยน้ำด่าน ห้วยบง ห้วยเถียงนา ห้วยทรายขาว ห้วยติ้ว และห้วยไผ่ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกห้วยไผ่อันเป็นที่นิยมกันนั่นเอง

นอกจากขุนเขาและน้ำตกแล้ว ภายในอุทยานฯ ยังคงความสมบูรณ์ของป่าไม้นานาชนิดปะปนกันอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็น ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดงดิบ ป่าสนเขา ซึ่งป่าสนคือตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงความหนาวนั่นเอง ลองนึกถึงป่าของประเทศทางยุโรปดู แล้วท่านจะเข้าใจเอง

โดยเฉพาะบนยอดภูเรือนั้น ประกอบด้วยป่าสนเขาสลับกับสวนหินธรรมชาติแซมด้วยพุ่มไม้เตี้ย สลับกับทุ่งหญ้าเป็นระยะๆ ดูแล้วเหมือนผลงานศิลปะที่ทางธรรมชาติตั้งใจสร้างสรรค์ไว้จริงๆ

สำหรับไม้พื้นล่างที่พบได้ทั่วไปนั้น ได้แก่ กุหลาบป่า มอส เฟิร์น และกล้วยไม้นานาชนิด เช่น ม้าวิ่ง สามปอย ไอยเรศ เอื้องคำ เอื้องผึ้ง เอื้องเงิน ซึ่งขึ้นตามต้นไม้และโขดหิน ต่างพร้อมใจกันบานสะพรั่ง ทำให้ที่นี่ยิ่งมีสีสันชวนให้หลงใหลเข้าไปอีก

อากาศของที่นี่จะเย็นตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นมากๆ ลองนึกดูว่าขนาดน้ำค้างบนยอดหญ้ายังแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง หรือที่ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “แม่คะนิ้ง” สมกับเป็นเมืองสุดหนาวในสยามจริงๆ

มีคำถามที่เคยคาใจผู้เขียนมานาน นั่นคือ ทำไมภูเรือถึงหนาวกว่าที่อื่น? เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ จึงแจ้งแถลงไขให้ฟังว่า “อุทยานฯ ภูเรือนั้นมีอากาศหนาวกว่าที่อื่น คงเนื่องจากมีลักษณะเป็นช่องระหว่างภูต่างๆ ช่องดังกล่าวนี้เป็นทางผ่านของลมหนาวที่พัดลงมาจากจีน ซึ่งเมื่อลมดังกล่าวเข้ามาแล้วก็จะชนกับภูเรือ ทำให้อากาศเย็นหมุนเวียนอยู่ภายใน นี่คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ขึ้นชื่อว่าหนาวที่สุดในประเทศไทย”

รุ่งอรุณผ่านไป ดวงตะวันค่อยๆ ลอยสูงขึ้น สีสันแห่งธรรมชาติก็เริ่มเผยออกมามากขึ้น ยิ่งทำให้ทิวทัศน์เผยความงามที่ถูกซ่อนไว้ในยามราตรีออกมา แม้สายหมอกจะจางหายแต่ก็ทดแทนด้วยภาพของขุนเขา ไม้ใบและไม้ดอกหลากสี ยิ่งดูยิ่งเพลินตา ทั้งความล้าที่ผ่านมาก็พลันหายไปในบัดดล

การใช้เวลายามเช้าเพื่อยลความงดงามของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการชมพระอาทิตย์ขึ้น ทะเลหมอก ไม้ดอกไม้ใบนานาพันธุ์ พร้อมทั้งสัมผัสอากาศหนาวเย็นอันจับใจ นั่งผิงไฟเคล้ากลิ่นอายแบบนี้ นับเป็นเรื่องราวดีๆ ของเมืองสุดหนาวในสยาม ที่ควรค่าแก่การค้นหาและได้มาเยือนแม้เพียงสักครั้งก็ตาม

มติชนอคาเดมี จัดทัวร์เกษตรสัญจร “ท่องทะเลหมอก ชมดอกไม้เมืองหนาว จังหวัดเลย” ในวันที่ 16-18 ธันวาคม 2559 นี้ ที่จะพาทุกท่านไปร่วมสัมผัสกับความหนาว พร้อมเกร็ดความรู้ด้านเกษตรในแง่มุมต่างๆ อย่างละเอียด พร้อมร่วมทริปกับวิทยากรพิเศษ อาจารย์ประเวศ แสงเพชร นักวิชาการด้านการเกษตร ที่ได้ชื่อว่าเป็นกูรูคนหนึ่งของเมืองไทย

สำรองที่นั่ง หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (02) 954-3977-84 ต่อ 2123, 2124 จันทร์-ศุกร์ (082) 993-9097, (082) 993-9105 เสาร์-อาทิตย์ หรือที่ http://www.matichonacademy.com และhttp://www.facebook.com/Matichon.Academy.Thailand