งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติประจำปี 2561 Thailand Research Expo 2018 พร้อมฉายแสงผลงานให้เจิดจรัสพร้อมกันอย่างยิ่งใหญ่ใจกลางกรุง 9-13 สิงหาคมนี้ ที่ โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ และ บางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

“ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาแนวโน้มหลักในสังคมโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนทุกคน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เราจะสามารถวางแผนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ได้อย่างไร ??? ”

การวิจัยและนวัตกรรม เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญ ที่จะตอบโจทย์การขับเคลื่อนทั้งใน     ภาคเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เป็นการบูรณาการครบทุกด้าน เพื่อพัฒนาองค์รวมของประเทศ ทำให้ประเทศสามารถปรับตัว รองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก  อีกทั้งยังสร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง  มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามแนวทางการพัฒนาประเทศเพื่อก้าวสู่ Thailand 4.0 อย่างเต็มตัว

ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่าการจัดงาน มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2561 หรือThailand Research Expo 2018 ปีนี้ ยังคงแนวคิด วิจัยเพื่อพัฒนาประเทศ สู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนพร้อมที่จะเปิดโลกงานวิจัยด้วยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การวิจัยทั้ง 9  ด้าน ที่เกิดผลอย่างรูปธรรมแล้ว มาจัดแสดงรวมกันอย่างยิ่งใหญ่ กว่า 500 ผลงาน  ระหว่างวันที่ 9-13 สิงหาคม นี้ ที่ ที่ โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ และ บางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

ผลงานที่โดดเด่น ที่จะนำมาแสดงมาจาก 9 กลุ่มเรื่อง ได้แก่  งานวิจัยและนวัตกรรมด้านความมั่นคง งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการเกษตรอาหารและเทคโนโลยี งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสังคม งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการแพทย์และการสาธารณสุข งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพลังงาน งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจดิจิทัลและข้อมูล และงานวิจัยและนวัตรรมเพื่อระบบโลจิสติกส์ อาทิ

สุดสะพรึง กับ “เลือดจระเข้” พระเอกของสาวๆที่ต้องการความงามที่เป็นอมตะ กับงานวิจัย  การพัฒนาต้นตำรับครีมเวชสำอางจากเลือดจระเข้สายพันธุ์ไทยสำหรับผิวหนัง ผลงานชิ้นเอกของ ผศ.ดร.นิศชล แจ้งพรหมมา และคณะ จากสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ จากกลุ่มงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการแพทย์และการสาธารณสุข “เลือดจระเข้” กำลังจะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของคนรักสวยรักงาม เมื่อ นักวิจัยได้ทำการศึกษาผลงานชิ้นเอกนี้เล่าว่า คุณสมบัติของเลือดจระเข้นั้นมีมากมาย จากการศึกษาพบว่าเลือดจระเข้มีคอลลาเจนสูงกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ รวมถึงมนุษย์ อีกทั้งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ ช่วยพลัดเซลล์ผิวได้ โดยเลือกใช้พลาสมาหรือเม็ดเลือดขาวของจระเข้มาสกัดเป็นสารตั้งต้นในตำรับครีมเวชสำอาง และจากการทดสอบในห้องทดลองพบว่า ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง ลดการอักเสบของสิวได้ดี ผิวหนังชุ่มชื้น กระชับเซลล์ผิว ได้ดี ซึ่งขณะนี้ได้ร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาตำรับเวชสำอางเพื่อการผลิตสู่ตลาด นอกจากนี้ยังทำการพัฒนาศึกษาเพื่อผลิตเป็นเจลปิดแผลเพื่อลดการอักเสบ ติดเชื้อผิวหนังอีกด้วย

โครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ้าทออีสาน หนึ่งในผลงานวิจัยในกลุ่ม งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสังคม ที่คิดคันออกมาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ที่นำองค์ความรู้แบบบูรณาการที่ได้จากการลงพื้นที่เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับชุมชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแพรวา จังหวัดกาฬสินธุ์ ผ้าขาวม้า จังหวัดอุบลราชธานี และผ้าซิ่นตีนจก จากจังหวัดบุรีรัมย์  เพื่อ สืบสานพระราชปณิธานของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ความโดดเด่นของโครงการนี้คือ การวิจัยและพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแพรวา จังหวัดกาฬสินธุ์ กับโจทย์ที่ได้รับมาคือ ทำอย่างไรให้ผ้าไหมแพรวาขายได้ง่ายขึ้น สร้างรายได้มากขึ้น สร้างความนิยมให้กับโลกของแฟชั่นและขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น จึงออกมาเป็นการนำผ้าไหมแพรวามามิกซ์แอนด์แมทช์กับผ้าทอสีพื้นชนิดอื่นๆ โดยเริ่มต้นกับผ้าลินินก่อนที่เน้นดีไซน์ออกมาให้มีความเรียบโก้ ทะมัดทะแมง ยามสวมใส่ ดูคล่องแคล่วตามสไตล์คนรุ่นใหม่ ที่สามารถสวมใส่ไปทำงานในชีวิตประจำวัน ส่งเสริมภาพลักษณ์ให้เป็น Working women แต่ก็ไม่ทิ้งความเป็นแฟชั่นนิสต้าที่งดงามแบบไทย  เป็นต้น ซึ่งหลังการผลิตทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลง ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อง่ายซึ่ง งานวิจัยชิ้นนี้จึงมีส่วนช่วยพัฒนาต่อยอดผ้าทอไทยและวงการแฟชั่นต่อไปในอนาคต”

โครงการพัฒนาพันธุ์ฟักทองที่มีสารพฤกษเคมีเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารสุขภาพ ของ สถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา จ.ลำปาง งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการเกษตรอาหารและเทคโนโลยี คิดค้นโดย ดร.ภัทราภรณ์ ศรีสมรรถการ และ ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากผลผลิตฟักทองสายพันธุ์ไทยมีราคาต่ำ คนไทยหันไปบริโภคฟักทองญี่ปุ่นกันมากขึ้นเพราะเชื่อว่าฟักทองญี่ปุ่นนั้นมีสารอาหารทางโภชนาการที่ดีกว่า จึงได้ทำการพัฒนาสายพันธุ์ฟักทองไทย โดยนำจุดเด่นของแต่ละสายมาทำการผสมพันธุ์ จนได้สายพันธุ์ใหม่กว่า 13 สายพันธุ์ โดยมี 3 สายพันธุ์ที่มีความโดดเด่น ได้แก่ PK11, PK14 และ PK17 คือ ผลผลิตลูกฟักทองที่ได้มีขนาดกลาง 3-5 กิโลกรัมต่อลูก เนื้อมีสีเหลืองสวยไม่เปลี่ยนสีเมื่อผ่านความร้อน เนื้อมีความแน่น เหนียว เมล็ดใหญ่และจำนวนมากต่อลูก เนื้อและเมล็ดฟักทองที่ได้มีสารพฤกษเคมีที่มีปริมาณสูง เช่น ฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ สารพรีไบโอติก วิตาวินเอ เบต้าแคโรทีน ไฟเบอร์ โฟเลท และโอเมกา 3 และ 6 สูง ทั้งเนื้อและเมล็ดสามารถนำไปแปรรูปอาหารได้หลากหลาย เหมาะกับผู้รักสุขภาพ แม้จะผ่านความร้อนแต่สารพฤกษเคมีหรือสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็ยังคงมีอยู่สูง รสหวานธรรมชาติเป็นน้ำตาลที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที เมื่อนำไปประกอบอาหารก็ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาลในปริมาณมาก นอกจากนี้ยังนำมาแปรรูปเป็นอาหารน่ารับประทานชนิดนี้ร้านเบเกอรี่เจ้าดังอาจจะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ อาทิ คุ้กกี้ฟักทอง เนยและแยมทาขนมปัง ขนมปังรถฟักทองเนื้อนุ่ม เป็นต้น

ระบบผนังคอมโพสิตแบบวาฟเฟิลของ ดร.ทนงศักดิ์ อิ่มใจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย จากกลุ่มงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพลังงาน ที่ตอบโจทย์มนุษย์ติดแอร์ เป็นอย่างมากเมื่อนักวิจัยคิดค้นให้เป็นระบบผนัง Sandwich Wall ที่นิยมใช้ในต่างประเทศที่มีอากาศหนาว นำโฟมชนิดเศษที่มีความแข็งแรงกว่าโฟมทั่วไป ทนความร้อนมาขึ้นรูปให้เป็นแผ่นวาฟเฟิล เมื่อนำมาประกบกัน ช่องว่างที่เกิดขึ้นก็สามารถเทปูนเป็นการเชื่อมติด เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนัง สามารถเจาะหรือตอกตะปูสำหรับการยึดติดได้ อีกทั้งผนังระบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เสาเป็นโครงสร้าง จากการทดสอบสร้างบ้านขนาด 60 ตร.ม. ยกพื้นเตี้ยๆ พบกว่าอากาศภายในบ้านจะเย็นกว่าภายนอกประมาณ 10 องศาเซลเซียส ค่าใช้จ่ายการก่อสร้างประมาณ 350,000 บาท หรือคิดเป็น ตร.ม. ละ 5,000 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายถูกกว่าการสร้างบ้านด้วยระบบ Infill Wall หรือการก่ออิฐฉาบปูนในปัจจุบัน เพียงเท่านี้ก็ลดความร้อน เพิ่มความเย็นให้กับแอร์คอนดิชั่นได้อย่าง ชิลด์ ชิลด์

เห็นได้ชัดว่าในโลกแห่งงานวิจัยและนวัตกรรม มีผลงานที่หลากหลายที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ และในปีนี้ ในงาน มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2561 หรือThailand Reaseach Expo 2018 นอกจากผลงานทั้ง 9 คอนเซ็ปท์ ดังที่กล่าวมา แล้วนั้น ยังมีการนำเสนอข้อมูลและผลงานจากเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศมากกว่า 500 ผลงานการประกวดนวัตกรรมสายอุดมศึกษากว่า 100 ผลงาน นิทรรศการงานวิจัยและนวัตกรรมจากงานสร้างสรรค์และนิทรรศการHighlight ตลอดจน กิจกรรม   ภาคการประชุมมากกว่า 120 หัวข้อ เรื่องที่ล้วนส่งเสริมกลไกการเชื่อมโยง การพัฒนางานวิจัยในประเทศและที่สำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งของงานคือ นิทรรศการเพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่9 พระบิดาแห่งการวิจัยไทย”  และนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิรลงกรณ   บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่แสดงถึงพระอัจฉริยภาพและโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลำน้ำกับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง  และนิทรรศการแสดงผลงานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผ่านเรื่องรางทางการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาในด้านต่างๆ อีกด้วย

โดยการจัดงานในครั้งนี้ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานเปิดงานมหกรรมผลงานวิจัยแห่งชาติ2561 Thailand Research Expo2018 ในวันที่ 10  สิงหาคม 2558ตั้งแต่เวลา 9.00 – 10.00  น.

ทั้งนี้ การจัดงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ หรือ Thailand Research Expo 2018 จะจัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 13 สิงหาคม  ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม

 

ระบบคัดกรองผู้ป่วยโรคเบาหวานขึ้นจอตาและผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมอย่างอัตโนมัติ

 

ผลงานหุ่นยนต์กู้ภัย

 

ครีมเลือดจระเข้