1 ไร่ เลี้ยงชีพอย่างยั่งยืน เทคนิคปลูกพริกให้ดก 7 ตันต่อไร่ เก็บขายได้นาน 7 เดือน ทำได้จริง!

“พริก” ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ต่อพื้นที่ได้น่าสนใจชนิดหนึ่ง โดยในพื้นที่ปลูกประมาณ 1 ไร่สามารถสร้างได้เฉลี่ยประมาณ 60,000-100,000 บาทเลยทีเดียว (ข้อมูล : กรมวิชาการเกษตร) แถมยังเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย ทนอากาศร้อน และปลูกได้ทุกพื้นที่ ทำให้ในแต่ละปีประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกพริกไม่น้อยกว่า 1 แสนไร่ โดยสายพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุด คือ “พริกขี้หนูผลใหญ่”


ปัจจุบันความนิยมบริโภคพริกในประเทศนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่เกษตรกรหลายพื้นที่เผชิญปัญหาปริมาณและคุณภาพของผลผลิตไม่สม่ำเสมอ ทั้งจากสภาวะอากาศที่แปรปรวน และปัญหาดินเสื่อมสภาพจากการปลูกพืชชนิดเดิมติดต่อกันเป็นเวลานาน

วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับเกษตรกรเก๋าประสบการณ์อย่าง แม่จ่อย-คุณนวลจันทร์ กุลบุตร วัย 56 ปี ต.หัวเรือ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ที่ปลูกพริกมานานร่วม 40 ปี โดยมีพื้นที่ปลูกแค่ประมาณ 1 ไร่ แต่สามารถให้ผลผลิตสูงถึง 7 ตัน ขณะที่เกษตรกรละแวกเดียวกันนั้นได้เพียง 2.5-3 ตัน/ไร่ เท่านั้น

แม่จ่อยเผยว่า เมื่อก่อนตนเองก็ไม่ได้ผลผลิตมากอย่างทุกวันนี้ แต่ด้วยความที่เป็น “นักทดลอง” ใครว่าอะไรดี แม่จ่อยลองทำด้วยตนเองทั้งหมด หมั่นเรียนรู้กับผู้ที่ประสบความสำเร็จ ช่วยให้ได้ความรู้ใหม่ๆ นำมาปรับใช้ได้ ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนแม้ในช่วงวิกฤต อย่างปี 2564 ที่มีฝนตกหนักกว่าทุกปี พริกที่สวนเจอน้ำท่วมหนักจนต้นชะงัก จนเกือบต้องถอนทิ้ง แต่ก็สามารถฟื้นฟูต้นจนพริกผลิดอกออกผลต่อไปได้
บนเส้นทางเกษตรกรกว่า 40 ปี อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้แม่จ่อย ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เป็นประสบการณ์อันมีค่าที่เกษตรกรรุ่นใหม่ต้องติดตาม!

เลือกสายพันธุ์คุณภาพ ตอบโจทย์ตลาด
สามารถขายได้ทั้งพริกแดง-พริกเขียว
แม่จ่อยเล่าว่า สมัยก่อนตนเองนั้นปลูกพริกขี้หนูพันธุ์พื้นเมืองพันธุ์ “พริกหัวเรือ” มาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ แต่ในระยะหลังพบว่าผลผลิตเริ่มลดลง คุณภาพไม่สม่ำเสมอ ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนส่งผลต่อการระบาดของโรคพืช พบแมลงพาหะนำโรค-แมลงศัตรูพืชได้บ่อยครั้งขึ้น ทำให้เกิดความเสียหายกับผลผลิตง่าย

จากนั้นแม่จ่อย จึงเริ่มเสาะหาพริกพันธุ์อื่นๆ มาปลูกเสริมในแปลงเป็นทางเลือกไม่น้อยกว่า 4-5 พันธุ์ จนมารู้จักพันธุ์ “ดวงเศรษฐี” จากงานประชุมตัวอย่างสายพันธุ์พริก ก็เห็นว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของตลาด คือ ผิวเรียบตึงมันวาว ผลยาวสม่ำเสมอ เนื้อแน่นแข็ง จึงได้ทดลองปลูกร่วมกับสายพันธุ์เดิมเพื่อเปรียบเทียบผลผลิต

หลังจากปลูกพบว่า จุดเด่นของสายพันธุ์ดวงเศรษฐี คือ ผลดก มีความทนโรค ต้านทานไวรัส ทำให้ต้นแข็งแรงและให้ผลผลิตน้ำหนักดี ต่อมาคือ สามารถขายได้ทั้งพริกแดงและพริกเขียว มีระยะเก็บเกี่ยวเร็วกว่าพันธุ์ที่เคยปลูก โดยเก็บเป็นพริกเขียวได้ตั้งแต่ 50-60 วัน (หลังย้ายกล้า) หรือเก็บพริกแดงใช้เวลา 70-80 วัน (หลังย้ายกล้า)

นอกจากนี้พริกพันธุ์ดวงเศรษฐีมีลำต้นแข็งแรง ทรงพุ่มสวย ง่ายต่อการเก็บเกี่ยว มีกิ่งแขนง และ “ข้อถี่” ทำให้พริกออกผลดกมาก เนื่องจากพริกนั้นจะติดผลที่บริเวณข้อ หากข้อยิ่งถี่พริกก็จะยิ่งผลดก
เมื่อปลูกได้ 1 รุ่นแล้วพบว่าได้ผลผลิตที่ดี แม่จ่อยจึงตัดสินใจปลูกพริกดวงเศรษฐีเพียงพันธุ์เดียวต่อเนื่องมานานกว่า 5 ปีแล้ว

ปรับปรุงโครงสร้างดิน
ช่วยพืชดูดซับธาตุอาหารได้ดีขึ้น
แปลงปลูกพริกของแม่จ่อยนั้นเป็นพื้นที่เดิมที่ปลูกพริกมาอย่างยาวนาน ซึ่งการปลูกพืชซ้ำบนพื้นที่เดิมนั้นทำให้ระดับธาตุอาหารในดินเริ่มลดลง ลักษณะทางกายภาพของดินจะเริ่มแน่นทึบ ทำให้ปลูกอะไรก็ไม่งอกงาม แม่จ่อยจึงให้ความสำคัญในการปรับปรุงดินมาก เพื่อรักษาผลผลิตให้ดกสม่ำเสมอในทุกๆ ปี
โดยปกติ แม่จ่อยจะเตรียมแปลงตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม เริ่มจากการไถดินเพื่อกำจัดวัชพืช จากนั้นไถพรวนอีก 2 รอบให้ดินร่วนซุย หลังจากนั้นจะตากดินทิ้งไว้ประมาณ 30 วัน
ระหว่างที่เตรียมแปลงก็จะเพาะกล้าพริกไปด้วย โดยจะใช้ “แกลบดำ” ผสมกับ “พีทมอส” เป็นวัสดุปลูก ใช้ระยะเวลาเพาะกล้า 30-45 วัน ก็จะได้ต้นกล้าที่แข็งแรง พร้อมย้ายลงแปลงได้เลย

ก่อนปลูกก็จะใส่ปุ๋ยรองพื้นเป็น “ปุ๋ยชีวภาพ” ประมาณ 100 กก. เพื่อช่วยทำให้ดินมีโครงสร้างที่ดี ร่วนซุย อากาศถ่ายเทได้สะดวก เพิ่มความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารพืชได้สูง
จากนั้นขึ้นแปลงโดยระยะร่องปลูกกว้างประมาณ 50-60 ซม. เว้นทางเดินประมาณ 50-60 ซม. ระยะต้นระหว่างหลุมจะอยู่ประมาณ 25-30 ซม. โดยการปลูกนั้นจะปลูกแถวคู่ ช่วยให้ได้ปริมาณต้นพริกมากขึ้น ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า

ทั้งนี้ ในบางฤดูการผลิตนั้น แม่จ่อยจะปลูกพืชชนิดอื่นคั่นระหว่างปลูกพริก เช่น แตงกวา ข้าวโพดหวาน และถั่วฝักยาว เพื่อทำการพักดิน เนื่องจากพืชแต่ละชนิดมีระบบรากและการดูดธาตุอาหารที่ต่างกัน ถือเป็นการปลูกพืชหมุนเวียน และช่วยเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง

เทคนิคเพิ่มผลผลิต 7 ตัน/ไร่
เก็บขายได้นาน 7 เดือน…ทำได้จริง!
หลังจากย้ายกล้าแล้ว แม่จ่อยจะเริ่มบำรุงต้นตั้งแต่ในระยะแรก เพื่อให้ต้นพริกสามารถเจริญเติบโตได้ไว โดยจะเน้นให้ธาตุอาหารที่เหมาะสมกับช่วงอายุของพืช ดังนี้
– ระยะหลังย้ายกล้า (พริกอายุ 6-10 วัน) แม่จ่อยจะเริ่มใส่ปุ๋ยตรากระต่ายสูตร 16-16-16 บลู อัตรา 50 กก./ไร่ ตามด้วยขี้ไก่ 30 กระสอบ/ไร่ โรยให้ทั่วโคนต้น ความถี่ 15 วัน/ครั้ง ช่วยให้ต้นพริกระยะแรกลำต้นแข็งแรง รากเดินได้ดี กระตุ้นการแตกใบได้สมบูรณ์
โดยในการบำรุงพริกนั้นแม่จ่อยจะใช้ขี้ไก่ร่วมด้วยอยู่เสมอ ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของราก ส่งเสริมการออกดอกและผลได้ดี

– ระยะแตกทรงพุ่ม (พริกอายุ 15-45 วัน) จะใส่ปุ๋ยตรากระต่ายสูตร 16-16-16 บลู อีกครั้ง อัตรา 50 กก./ไร่ ตามด้วยขี้ไก่ 30 กระสอบ/ไร่ โรยให้ทั่วโคนต้น ความถี่ 15 วัน/ครั้ง ช่วยให้พริกแตกข้อและทรงพุ่มใหญ่เร็ว

โดยแม่จ่อย ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า “ยิ่งพริกแตกแขนงมาก ก็จะยิ่งให้ผลผลิตได้มากตามไปด้วย” ดังนั้น ระยะแตกทรงพุ่มจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ แม่จ่อยจะคอยสังเกตต้นพริกอยู่เสมอ หากเริ่มมีอาการ “หิวปุ๋ย” ใบเริ่มเหลือง ส่งสัญญาณว่าพริกกำลังขาดอาหาร จะทำให้การแตกข้อเริ่มน้อยลง ก็จะเร่งใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู เพิ่มเข้าไป เนื่องจากปุ๋ยสูตรนี้ละลายง่าย ช่วยให้พริกได้รับธาตุอาหารไว ต้นสมบูรณ์ แตกข้อดี เตรียมพร้อมสำหรับการออกผลผลิต

– ระยะติดดอก-ผล (พริกอายุ 50 วัน) แม่จ่อยจะปรับสูตรปุ๋ยเพื่อให้เหมาะกับการบำรุงผลพริกโดยจะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24 อัตรา 50 กก./ไร่ ผสมกับปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 46-0-0 อัตรา 3-4 กก./ไร่ ความถี่ 15 วัน/ครั้ง ช่วยให้พริกน้ำหนักดี เนื้อแน่น สีสวย เป็นที่ต้องการของตลาด

ทั้งนี้ หลังเก็บเกี่ยวพริกแต่ละครั้ง แม่จ่อยจะใส่ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 13-13-24 ตามทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ต้นโทรม และที่สำคัญคือ ช่วยให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานขึ้น โดยแม่จ่อยเน้นว่า หากดูแลพริกอย่างสมบูรณ์จะสามารถเก็บผลผลิตได้นานถึง 7 เดือน โดยที่พริกยังคงคุณภาพสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ แม่จ่อยเล่าว่า สมัยก่อนจะใช้วิธีการบำรุงด้วยปุ๋ยสูตรที่ตัวเลขต่ำ เพราะคิดว่าราคาถูกและใช้ปุ๋ยอะไรก็เหมือนกันหมด แต่พอเห็นคนที่ปลูกพริกได้น้ำหนักดีมีคุณภาพเขาใช้ “ปุ๋ยตรากระต่าย” ก็เลยไปปรึกษาเขาว่าควรปรับปรุงการบำรุงอย่างไรบ้าง จากนั้นก็เปลี่ยนความคิดไปเลย เพราะพริกแต่ละช่วงอายุนั้นต้องการธาตุอาหารที่แตกต่างกัน หากเราใส่ปุ๋ยสูตรที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้พริกไม่ได้น้ำหนัก และได้ผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ

“พอปรับเปลี่ยนการบำรุงแล้วก็ทำให้ผลผลิตแม่ก็ดีขึ้นจริงๆ นะ พริกแม่จากเดิมจะได้ไร่ละประมาณ 3 ตัน ตอนนี้ได้ถึง 7 ตัน บอกใครเขาก็ไม่ค่อยเชื่อ…ปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู นั้นช่วยให้ต้นพริกแตกข้อ แตกทรงพุ่มได้ดี เรื่องการฟื้นต้นนี่คือที่หนึ่งเลยแม่ชอบมาก ช่วงปี 2564 ฝนตกหนักมาก น้ำระบายไม่ทัน พริกต้นชะงัก ใบร่วงเกือบหมด แม่คิดว่าจะต้องถอนทิ้งทั้งแปลงแล้ว แต่หลังจากพ้นช่วงพายุไป ก็ลองบำรุงด้วยปุ๋ยตรากระต่าย สูตร 16-16-16 บลู ปรากฎว่าช่วยให้พริกฟื้นตัว สามารถเก็บผลผลิตขายได้อย่างที่เห็นนี่แหละ” แม่จ่อย เล่าถึงความประทับใจในปุ๋ยตรากระต่ายให้ฟัง

ผลผลิตมีคุณภาพ ตลาดให้การยอมรับ
สร้างรายได้หลักแสน
ปกติแม่จ่อยจะเริ่มเก็บพริกขายรอบแรกประมาณเดือนตุลาคม เรื่อยไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งในการซื้อขายนั้นจะมีผู้รับซื้อเจ้าประจำที่ซื้อขายกันมานานหลายสิบปี แต่ก็ต้องรักษามาตรฐานผลผลิตให้ดี เพราะยิ่งมีผู้ปลูกมากก็ยิ่งมีการแข่งขันสูง ไม่เฉพาะการแข่งขันภายในประเทศเท่านั้น ปัจจุบันมีพริกจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่า แต่ก็ยังสู้เรื่องของคุณภาพและความสดของพริกในประเทศไม่ได้ ทำให้ตลาดพริกเน้นคุณภาพยังคงเลือกใช้พริกในประเทศอยู่ (ข้อมูล : กรมวิชาการเกษตร)
สำหรับขั้นตอนการขาย แม่จ่อยเล่าให้ฟังว่า ผู้ซื้อจะเป็นผู้แจ้งความต้องการกับเกษตรกรว่าต้องการพริกเขียวหรือพริกแดง จากนั้นทำการบรรจุถุงละ 10 กิโลกรัม โดยราคาเฉลี่ย “พริกเขียว” นั้นอยู่ที่ 400-500 บาท/ถุง ช่วงราคาดีจะอยู่ที่ 800 -900 บาท/ถุง ส่วน “พริกแดง” ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 400-500 บาท/ถุง ช่วงราคาดีจะอยู่ที่ 1,600-1,800 บาท/ถุง

“การเก็บพริกปกติแม่จะเก็บทุก 15 วัน เมื่อเก็บจนครบ 7 เดือน จะได้ผลผลิตเฉลี่ยรวมประมาณ 7 ตัน แต่ละรอบการปลูกก็จะมีรายได้อยู่ที่หลักแสนบาท หรืออาจถึง 2-3 แสนบาท หากเป็นช่วงที่ราคาดี อย่างช่วงต้นปี 2564 นั้นราคาดีมาก พริกแดงถุงละ 1,800 บาทเลย เมื่อเทียบกับพื้นที่ปลูกเพียง 1 ไร่ แม่ก็ถือว่าพอใจ เพราะสมัยก่อนก็ไม่ได้มีรายได้เท่านี้ แต่พอได้เปลี่ยนมาปลูกพริกพันธุ์ดวงเศรษฐี และเลือกใช้ปุ๋ยที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของพริก ก็ทำให้ผลผลิตแม่ได้คุณภาพและดกมากขึ้นจริงๆ แม่ก็ภูมิใจตรงนี้แหละที่ปลูกพริกแค่ 2 คน กับพ่อ แต่ก็ได้ผลผลิตไม่แพ้ใครเหมือนกัน” แม่จ่อย กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจัยความสำเร็จของแม่จ่อย นั้นอยู่ที่การเรียนรู้และกล้าที่จะเปลี่ยนอย่างแท้จริง แม้จะมีประสบการณ์การปลูกพริกมานาน แต่เมื่อเจอความความท้าทายหลายด้าน ทั้งเรื่องสภาพอากาศ การแข่งขันของตลาด ที่ “คุณภาพ” กลายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญ ก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรอย่างไม่ยึดติด จนทำให้ผลผลิตนั้นได้ทั้งปริมาณและคุณภาพอย่างทุกวันนี้

ติดตามข่าวสารอื่นๆ ข้อมูลสินค้า และข่าวสารจากปุ๋ยตรากระต่าย เพิ่มเติมได้ที่
Facebook: www.facebook.com/puitrakratai/
YouTube: www.youtube.com/c/Puitrakratai
ข้อมูลสินค้าปุ๋ยตรากระต่าย : http://www.chiataigroup.com/business/fertilizer/puitrakratai