เยี่ยมชม “สวนทิพย์บัญฑิต” สวนองุ่นแห่งแรก ของชุมพร

ย้อนหลังไปประมาณ 3 ปี คงไม่มีใครเชื่อว่าจะมีการปลูกองุ่นได้ในจังหวัดชุมพร เพราะคิดว่าสภาพแวดล้อมต่างๆ ของจังหวัดชุมพรคงไม่เอื้ออำนวยต่อการปลูกองุ่น แต่ “น้องตาล” หรือ ทัสสนัย ทิพย์บัญฑิต หนุ่มวัย 36 ปี และภรรยาคือ “น้องน้อย” หรือ กรรณิการ์ พรหมทัน เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ประมาณ 40 ไร่ ในพื้นที่หมู่ที่ 5 ตำบลหงษ์เจริญ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ที่รับช่วงต่อมาจากพ่อแม่ มีความคิดที่จะลองปลูกองุ่นดูบ้าง จึงได้นำตัวอย่างดินในสวนปาล์มไปขอให้กรมพัฒนาที่ดินตรวจสอบค่าความเป็นกรดเป็นด่างว่าเหมาะสมหรือไม่

คุณทัสสนัย ทิพย์บัญฑิต

จากนั้นจึงกลับมาปรับปรุงสภาพดินประมาณ 1 ไร่ แล้วไปซื้อพันธุ์องุ่นของโครงการหลวงมาจากจังหวัดราชบุรี ซึ่งมีพันธุ์หลักๆ อยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ Beauty Seedless ของอเมริกา กับพันธุ์ Black Opal จากออสเตรเลีย เป็นองุ่นที่มีสีม่วง และขณะนี้เริ่มปลูกอีกพันธุ์ คือ พันธุ์ Shine Muscat จากญี่ปุ่น เป็นองุ่นสีเขียว ไร้เมล็ด และมีรสชาติหวาน โดยใช้ชื่อสวนว่า “สวนองุ่นทิพย์บัญฑิต” ซึ่งใช้นามสกุลมาเป็นชื่อสวน และถือเป็นสวนองุ่นเจ้าแรกของจังหวัดชุมพรในขณะนั้น

พันธุ์ Beauty Seedless

“การปลูกองุ่นในสวนใช้เวลาประมาณ 8 เดือนก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว เฉลี่ยใน 1 ปีจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 2 ครั้ง ได้ครั้งละประมาณ 700-800 กิโลกรัม ถ้าเป็นองุ่น Beauty Seedless และองุ่น Black Opal จะขายในราคากิโลกรัมละ 200 บาท ส่วนองุ่น Shine Muscat จำหน่ายกิโลกรัมละ 300 บาท ซึ่งจะเน้นขายหน้าสวนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มีบ้างที่มีการสั่งซื้อออนไลน์มา แต่ผมไม่ขาย เพราะขนส่งลำบาก เนื่องจากเราตัดองุ่นช่วงที่แก่จัดออกจำหน่าย หากขนส่งใช้เวลาหลายวัน องุ่นอาจหลุดร่วงคากล่องได้” น้องตาล กล่าว

พันธุ์ Shine Muscat

น้องตาล เปิดเผยว่า การปลูกองุ่นใช้งบประมาณเริ่มต้น จำนวน 300,000 บาท ใช้ในการก่อสร้างโรงเรือนและจัดซื้อพันธุ์องุ่น หลังจากเริ่มปลูกองุ่นใหม่ๆ ในปีแรกมีผู้สนใจเดินทางเข้ามาเยี่ยมชม ขอซื้อพันธุ์องุ่น และซื้อองุ่นเป็นจำนวนมาก เพราะคงถือเป็นของแปลกหูแปลกตาและแปลกใหม่ในชุมพรขณะนั้น แต่นับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด-19 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมสวนก็น้อยลงไป แต่ยังพอมีคนในพื้นที่ที่เข้ามาเยี่ยมชม ศึกษา และขอซื้อพันธุ์องุ่นไปปลูกบ้าง หากใครสนใจคิดจะปลูกองุ่นบ้าง ตนเองก็พร้อมให้คำแนะนำ ถ้าซื้อกิ่งพันธุ์องุ่นไปปลูก ตนเองก็จะแวะไปดูให้ ซึ่งกิ่งพันธุ์จะขายต้นละ 150 บาท

ได้ผลดี

สำหรับผู้ที่สนใจจะปลูกองุ่น น้องตาล ก็แนะนำว่า อาจจะลองเริ่มต้นปลูกสัก 5-10 ต้น ในพื้นที่เล็กๆ ก่อน โดยถามตัวเองว่ามีใจรักและมีเวลาในการดูแลมันหรือไม่ องุ่นเป็นพืชที่ดูแลไม่ยากนักเหมือนปลูกต้นไม้ทั่วไป โดยต้องหมั่นรดน้ำ ใส่ปุ๋ย และเดินดูวันละประมาณ 1 ชั่วโมง ว่ามีพวกแมลง หนู กระรอก มารบกวนหรือไม่ ซึ่งอาจต้องใส่สารเคมีป้องกันบ้าง หรือหากไม่อยากใช้สารเคมีก็ต้องใช้น้ำส้มควันไม้ หรือน้ำชีวภาพช่วยป้องกัน โดยต้องหมั่นดูแลในเรื่องนี้ องุ่นเป็นพืชที่กินน้ำไม่เยอะ แต่ต้องมีน้ำตลอด ต้องมีการรักษาพื้นดินให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอด

ขายได้ราคา

“ปัจจุบันจะมีร้านกาแฟที่จำหน่ายกาแฟและเครื่องดื่มพวกน้ำองุ่นสดๆ ให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมได้นั่งด้วย ซึ่งจะมีน้องน้อยคอยดูแลรับผิดชอบ ผู้ที่จะเข้ามาเยี่ยมชมต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของสวนคือ ห้ามเด็ด ห้ามจับองุ่นซึ่งเป็นพืชที่ค่อนข้างอ่อนไหว หากต้องการตัดองุ่นที่แก่ได้ที่กลับไป ก็สามารถทำได้โดยใช้กรรไกรของสวนตัดใส่ตะกร้าแล้วนำไปชั่งที่เครื่องชั่งที่ร้านกาแฟ ส่วนการเดินทางมายังสวนองุ่นทิพย์บัญฑิต หากมาจากตัวเมืองชุมพร ให้ขับรถเลยสี่แยกท่าแซะมาถึงทางเข้าเนิน 491 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้ามาอีก 12 กิโลเมตรจากถนนเพชรเกษม และเลยโรงเรียนประชานิคม 4 เข้ามาอีก 1 กิโลเมตร ก่อนเลี้ยวซ้ายอีกประมาณ 600 เมตร จะมีป้ายบอกทางตลอด หรือโทรศัพท์สอบถามเส้นทางได้ที่หมายเลข 097-250-8541” น้องตาล กล่าว

คุณอนัน รามพันธุ์ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดชุมพร กล่าวว่า เท่าที่ได้เยี่ยมชมสวนองุ่นแห่งนี้ คิดว่าน่าจะให้การสนับสนุนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจได้ ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว ก็พร้อมจะให้การสนับสนุนสวนองุ่นทิพย์บัญฑิตแห่งนี้เต็มที่