ศรแดง มีข้าวโพดหลากสี คุณภาพเยี่ยม ให้ผลผลิตต่อไร่สูง

ข้าวโพด ถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญและยังมีมูลค่าทางการค้าต่อไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยปัจจุบันกลุ่มพืชข้าวโพดที่สำคัญของไทย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดข้าวเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หรือข้าวโพดไร่ และข้าวโพดฝักอ่อน ซึ่งข้าวโพดที่จะกล่าวถึงและให้ความสำคัญในครั้งนี้คือ ข้าวโพดหวาน และข้าวโพดข้าวเหนียว หากเจาะลึกไปยังข้าวโพดทั้ง 2 ชนิดนี้แล้ว ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกจำนวนมากกว่า 500,000 ไร่ และสามารถเก็บผลผลิตได้มากกว่า 900,000 ตัน ต่อปี จึงส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพื้นที่ปลูกและผลิตข้าวโพดหวานแปรรูป อันดับ 1 ของโลกอีกด้วย

โดยพื้นที่หลักในการปลูกข้าวโพดหวานและข้าวโพดข้าวเหนียวของไทยแบ่งออกตามภาคต่างๆ ได้แก่

ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง กำแพงเพชร

ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี ปทุมธานี นครสวรรค์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา หนองคาย ศรีสะเกษ นครพนม

ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรัง นครศรีธรรมราช สงขลา

ผลผลิตข้าวโพดจากพื้นที่เหล่านี้จะถูกแบ่งไปยังตลาดที่สำคัญ 2 แห่ง คือ ตลาดบริโภคและตลาดโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูป ซึ่งถ้าพิจารณาราคาผลิตข้าวโพดทั้ง 2 กลุ่ม ในตลาด จะเห็นได้ว่าราคาตั้งแต่ต้นปี กิโลกรัมละ 15 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับ ปี 2560 ที่ราคาสูงสุด เพียง 12 บาท เท่านั้น นั่นแสดงถึงความต้องการใช้ข้าวโพดในการบริโภคและภาคอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น และยังมีแนวโน้มตลาดในทางที่ดีขึ้น

คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด

คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีสท์ เวสท์ ซีด จำกัด ผลิตและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ผัก ภายใต้ตราสินค้าศรแดง ได้เล่าว่า ความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานและข้าวโพดข้าวเหนียวของเกษตรกรในประเทศไทยต่อปี จำนวน 900 ตัน คิดเป็นมูลค่าตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด รวม 600 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นข้าวโพดหวาน 55% และข้าวโพดข้าวเหนียว 45% ซึ่งนอกจากเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพแล้ว ในเรื่องของสายพันธุ์ก็จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเกษตรกร ที่จะคอยตอบโจทย์ในเรื่องของการผลิต การทนทานต่อโรค รวมไปถึงช่วยในการลดต้นทุนด้านต่างๆ ทั้งในเรื่องของคุณภาพผลผลิต ความทนโรค และคุณภาพการกิน โดยศรแดงได้แสดงสายพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมมากกว่า 30 สายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์ที่น่าจับตามองและเป็นไฮไลต์มีอยู่ 3 สายพันธุ์

ไฮไลต์ 3 สายพันธุ์ ที่น่าจับตามอง

1.ข้าวโพดข้าวเหนียว 3 สี พันธุ์แฟนซี 35 เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมที่มีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง คือ เมล็ดมี 3 สี ขาว ม่วง และเหลือง เมล็ดเรียงเต็มฝัก ฝักมีขนาดใหญ่ เปลือกสีเขียวหุ้มถึงปลายฝัก น้ำหนักดี ติดฝักสม่ำเสมอ ต้นแข็งแรง ให้ผลผลิตต่อไร่สูง รสชาติเหนียวนุ่ม จุดเด่นสำคัญคือ สามารถเก็บไว้ได้นานโดยเมล็ดไม่แข็ง และยังมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค ทั้งสารแอนโทไซยานิน และเบต้าแคโรทีน

2.ข้าวโพดข้าวเหนียว พันธุ์เหนียวทับทิม เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงทั้งฝัก มีลำต้นที่แข็งแรง โตเร็ว ฝักสีม่วงแดงเข้ม ติดฝักสม่ำเสมอ เปลือกฝักปิดถึงปลายฝัก เมล็ดเรียงแถวตรงจนถึงปลายฝัก มีสารแอนโทไซยานินสูง รสชาติเหนียวนุ่ม แม้ทิ้งไว้ค้างคืนเมล็ดก็ไม่แข็ง

ข้าวโพดข้าวเหนียว พันธุ์เหนียวทับทิม

3.ข้าวโพดข้าวเหนียว พันธุ์สวีทไวโอเล็ต เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวที่มีเมล็ด 2 สี สีม่วงและสีขาวผสมกัน ลำต้นแข็งแรง ฝักสีเขียวและเปลือกฝักปิดถึงปลายฝัก มีเมล็ดเรียงเต็มถึงปลายฝัก ฝักใหญ่น้ำหนักดี มีรสชาติเหนียว นุ่ม หวาน 25% ทิ้งค้างคืนไม่แข็ง เป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งพันธุ์นี้ยังเป็นพันธุ์ยอดนิยม อันดับ 1 ในเกษตรกรผู้ปลูก

เทคนิคการปลูกระบบน้ำหยด ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ

คุณสายทิพย์ นันทะมีชัย ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ แนะเทคนิคการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียว ให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ ด้วยระบบน้ำหยด ดังนี้

เริ่มแรกต้องมีการปรับปรุงดินด้วยการปลูกปอเทืองแล้วไถกลบ เพื่อพัฒนาดินให้ดี มีการไถพรวนตากดินให้แห้ง และจึงขึ้นแปลง

ยกแปลงสูง 15 เซนติเมตร ระยะนี้เหมาะสำหรับปลูกช่วงหน้าฝน เพื่อช่วยการระบายน้ำได้ดี

วางระบบสายน้ำหยดแถวคู่ ระยะ 70 เซนติเมตร เจาะหลุมพลาสติก ระยะ 10-15 เซนติเมตร สำหรับปลูก 1 ต้น แต่ถ้าต้องการปลูกห่างเพื่อจะใช้ 2 ต้น ให้ขยับเป็น 25 เซนติเมตร

ในแปลงก่อนที่จะหยอดเมล็ดให้ปล่อยน้ำให้ความชุ่มชื้นแก่ดิน หลังจากนั้นหยอดเมล็ดลงไปโดยตรง ระยะ 4-5 วัน จะเริ่มงอก

ช่วง 7 วันแรก ยังไม่ต้องใช้สารเคมี เพราะเมล็ดพันธุ์ของศรแดงมีการเคลือบสารป้องกันแมลงและกระตุ้นการงอกมาแล้ว ให้เริ่มป้องกันโรคราน้ำค้างหลังปลูก 15 วัน และฉีดอีกครั้ง โดยให้นับไปอีก 15 วัน เพื่อป้องกันโรค

สภาพแปลงปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวสายพันธุ์ต่างๆ

ในส่วนของปุ๋ย หากพื้นที่ของเกษตรกรมีปุ๋ยโพแทสเซียมตกค้างเยอะ ให้เน้นใส่ปุ๋ยยูเรีย ให้ทุก 5 วัน อยู่ที่ความสมบูรณ์ของข้าวโพด แต่ถ้าเกษตรกรบางพื้นที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์ก็พยายามดูเรื่องปุ๋ยอย่าให้ขาด พยายามเสริมตัวกลางกับตัวท้าย

หลักๆ ของข้าวโพดคือ ป้องกันช่วงระหว่างงอกจนถึงอายุ 45 วัน ถึงออกดอกอย่าให้โดนทำลาย ให้การเจริญเติบโตเต็มที่หลังจากนั้นรอเก็บผลผลิต

อายุการเก็บเกี่ยวของข้าวโพด 60 วัน เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ซึ่งวิธีการเก็บเกี่ยวดูง่ายๆ ปกติข้าวโพดจะออกดอกช่วง 40-45 วัน ให้นับหลังวันออกดอก 18 วัน ก็คือช่วงเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ถ้าเป็นข้าวโพดข้าวเหนียว พันธุ์เหนียวทับทิม แนะนำว่าอย่าเก็บตอนฝักที่มีสีม่วงเข้ม แนะให้เก็บฝักที่มีสีม่วงยังไม่มาก รสชาติจะหวานเหนียวนุ่ม

 

ต้นทุนการผลิต

ใช้เงินลงทุนเพียง 4,000-5,000 บาท ต่อไร่ ต้นทุนหลักๆ อยู่ที่ค่าสารเคมี สารป้องกันกำจัดศัตรูโรคแมลง และค่าแรงงาน ค่าเมล็ดพันธุ์เป็นส่วนน้อย เพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ผลผลิตที่ได้ 1.2-1.5 ตัน ต่อไร่ คิดเป็นรายได้ ประมาณ 10,000-12,000 บาท ต่อไร่

การตลาดตอบโจทย์ ทั้งเกษตรกร แม่ค้า และผู้บริโภค

  1. เกษตรกร การตลาดในแง่ของเกษตรกร เมล็ดพันธุ์ของศรแดง เป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูง น้ำหนักดี ติดฝักสม่ำเสมอ ผลผลิตต่อไร่สูง และที่สำคัญทนทานต่อโรคราน้ำค้าง
  2. แม่ค้า ได้ข้าวโพดคุณภาพ ได้ข้าวโพดฝักสวยเมล็ดเรียงเต็มฝัก ได้ความหลากหลายเป็นจุดเด่นดึงลูกค้า และที่สำคัญเก็บไว้ได้นาน ทิ้งค้างคืนไม่แข็ง ขายวันนี้ไม่หมดเก็บขายต่อพรุ่งนี้ได้
  3. ผู้บริโภค ได้ข้าวโพดที่เหนียวนุ่ม รสชาติหวาน และมีสินค้าให้เลือกบริโภคหลากหลายตรงต่อความต้องการ ราคาอยู่ในระดับที่พอดี

ติอต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ (02) 831-7777, (02) 197-6544