ผู้เขียน | เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
โรคไมเกรน เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ อาการปวดศีรษะนั้นมักจะปวดข้างเดียว หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง และแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้ แต่บางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมๆ กันตั้งแต่แรก ลักษณะอาการปวดมักจะปวดตุ๊บๆ เป็นระยะๆ แต่ก็มีบางคราวที่ปวดแบบตื้อๆ ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก โดยจะค่อยๆ ปวดมากขึ้นทีละน้อยจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อยๆ บรรเทาอาการปวดลงจนหาย ขณะที่ปวดศีรษะก็มักจะมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ระยะเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายอาจจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที เช่น สายตาพร่ามัว หรือมองเห็นแสงกระพริบๆ อาการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายอาจจะปวดขึ้นมากลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกระทั่งตื่นนอนเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้
อาการปวดศีรษะไมเกรนต่างจากอาการปวดศีรษะธรรมดาตรงที่ว่า อาการปวดศีรษะธรรมดามักจะปวดทั่วทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดตื้อๆ ที่ไม่รุนแรงนัก และมักจะไม่มีอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไมเกรน
ปัจจุบันสาเหตุของไมเกรนก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด มีอยู่หลายทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ โดยเชื่อกันว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมองก็ได้
จากหลักฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา ปัจจุบันเชื่อว่าไมเกรนถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบตัวผู้เป็น
5 วิธีบำบัดไมเกรนด้วยตัวเอง
วิธีที่ 1 ดูแลตัวเอง
ที่สำคัญคือการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม
วิธีที่ 2 เลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรนมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกร่างกาย ที่ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงมีดังต่อไปนี้
- การรับประทานอาหารที่มีสารกระตุ้นอาการเริ่มแรกของไมเกรน เช่น ไนไตรต์หรือที่เรียกว่าสารเร่งเนื้อแดงซึ่งพบในเบคอน เนื้อฮ็อตดอก และเนื้อหมัก ไทอามีน พบในไวน์แดง ตับไก่ อาหารที่ใช้ยีสต์ แทนนิน พบมากในถั่วเปลือกแข็ง น้ำแอปเปิ้ล องุ่น เบอร์รี่ ชา กาแฟ และไวน์แดง ซัลไฟต์ ที่ใช้ในการหมักไวน์และผลไม้แห้ง โมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรส นอกจากนั้นแล้ว ยังมีช็อกโกแลต เนยแข็ง อาหารทอด และผลไม้จำพวกส้ม
- การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากหิวหรือกินอาหารคาร์โบไฮเดรตขัดขาวมากเกินไป
- อยู่ในภาวะขาดน้ำ ดื่มน้ำน้อยเกินไป รวมทั้งออกกำลังกายมากจนเสียเหงื่อมากเกินไป
- ความเครียด และความวิตกกังวล
- นอนหลับน้อย อดนอน หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
- อยู่ในที่ที่แสงจ้า หรือได้รับแสงจ้าเกินไป รวมทั้งการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
- อยู่ในสถานที่หรือได้รับฟังเสียงดัง
- การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศแห้งหรือลมร้อนแห้ง อากาศร้อน หรือการอยู่กลางแดดนานๆ
- กลิ่นบางอย่าง เช่น น้ำหอม ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์
- การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายหรือการกินยาคุม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับการเกิดไมเกรน ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นไมเกรนมักจะมีอาการปวดในช่วงที่มีประจำเดือน ความรุนแรงและระยะเวลาในการปวดมักจะมากกว่าในช่วงอื่น นอกจากนี้ การตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆ ก็มักจะทำให้ปวดไมเกรนได้มากขึ้น
วิธีที่ 3 รับประทานอาหารป้องกันไมเกรนบ่อยๆ
เนื่องจากระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมของผู้ป่วยไมเกรนมักมีประสิทธิภาพไม่ดี ช่วงก่อนมีอาการหรือกำลังมีอาการจึงพบว่ามักมีปริมาณแมกนีเซียมลดต่ำลง อาหารที่มีแมกนีเซียมจึงช่วยให้ความถี่และความรุนแรงของอาการน้อยลงได้ ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว ฟักทอง นอกจากแมกนีเซียมแล้ว ผู้มีอาการไมเกรนซึ่งมีพลังงานสำรองในสมองต่ำจึงต้องการ ไรโบเฟลวิล เพื่อช่วยเพิ่มพลังสำรองในเซลล์สมอง อาหารที่มีไรโบเฟลวิลสูง ได้แก่ เห็ดหอมสด ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ มันฝรั่ง และผักหวาน แคลเซียมและวิตามินดี ช่วยป้องกันไมเกรนได้เช่นกัน พบมากในผักใบเขียวและถั่ว ส่วนในนมถึงแม้มีแคลเซียมสูง แต่อาจกระตุ้นการเกิดไมเกรนในบางคนได้
กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเล จำพวกปลาทู แซลมอน ทูน่า และซาร์ดีน ช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ช่วยบำรุงระบบประสาท และป้องกันไมเกรนได้เช่นกัน
วิธีที่ 4 นวด ประคบ กดจุด
ประคบร้อนและเย็นบรรเทาอาการ
วิธีที่ 1 ประคบเย็นที่หน้าผากหรือคอ ถ้าอาการไม่บรรเทา ให้ประคบร้อนและเย็นพร้อมกัน โดยประคบเย็นที่หน้าผากและประคบร้อนที่ท้ายทอย ประคบสลับที่กันทุก 2 นาที ทำได้ถึง 6 รอบ
วิธีที่ 2 ใช้ผ้าอุ่นจัดวางที่ท้ายทอย แล้วนวดคอ ไหล่ และสะบัก แล้วใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคลึงเบาๆ ที่ขมับ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า วิธีนี้ช่วยลดอาการปวดไมเกรนเนื่องจากความเครียด
นอกจากการประคบแล้วยังมีการนวดกดจุดที่ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน
คลายปวดกับนวดกดจุด
ศาสตร์การแพทย์ตะวันออก เชื่อว่าร่างกายคนเรามีเส้นลมปราณ ที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนเลือดและความสมดุลของพลัง แต่เมื่อเกิดความเครียดหรือสภาวะผิดปกติที่ส่วนใด จะส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นเกิดอาการตึง เกร็ง เป็นเหตุให้พลังปราณติดขัด ร่างกายจึงเสียสมดุลและเจ็บป่วย จึงต้องนวดกดจุดเพื่อเปิดช่องพลังปราณ เมื่อพลังปราณไหลเวียนดี ร่างกายก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ดังนั้น การนวดกดจุด จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้
- หน้าผาก ใช้นิ้วหัวแม่มือ หรือนิ้วชี้ กดจุดช่วงกลางหน้าผาก ระหว่างหัวคิ้ว กดลึกๆ รูดขึ้นด้านบน ทำต่อเนื่องสักประมาณ 1 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ
- มือ ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วชี้ ของมือข้างหนึ่ง กดจุดตรงเนินเนื้อที่เชื่อมระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมืออีกข้าง ทำต่อเนื่องสักประมาณ 1 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ แล้วสลับทำอีกข้าง
- คอ ใช้นิ้วมือวางบริเวณใต้กะโหลกศีรษะ เหนือต้นคอ แล้วรูดออกด้านข้าง ประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร หรือ 1-2 นิ้ว ทำจนกระทั่งอาการปวดทุเลา จากนั้น เอนคอไปด้านหลังเล็กน้อย แล้วใช้นิ้วโป้งกดบริเวณข้างๆ กระดูกคอ กดค้างไว้สักประมาณ 2 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ
- ศีรษะ ใช้นิ้วชี้กดให้แน่น บริเวณจุดตัดกลางศีรษะ (จุดตัดลากระหว่าง 2 เส้น คือ เส้นหนึ่ง เป็นเส้นที่ลากจากด้านหน้าหูข้างหนึ่งลากไปยังหูอีกข้างหนึ่ง ตัดกับเส้นที่สอง คือเส้นที่ลากระหว่างกลางคิ้วไปตัดที่กลางศีรษะ) กดค้างไว้สักประมาณ 1 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ
- เท้า ใช้นิ้วโป้ง และนิ้วชี้ ของมือข้างหนึ่ง กดจุดตรงเนินเนื้อที่เชื่อมระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของเท้าอีกข้าง ทำต่อเนื่องสักประมาณ 1 นาที หรือจนกว่าอาการปวดจะทุเลา ระหว่างกดให้หายใจเข้าออกลึกๆ แล้วสลับทำอีกข้าง
วิธีที่ 5 สมุนไพรแก้ปวดไมเกรน
ขิง….สมุนไพรคลายอาการปวดไมเกรน
จากการศึกษาวิจัยล่าสุด ในต่างประเทศ ทำการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยไมเกรน 100 ราย ในแผนกประสาทวิทยา ของโรงพยาบาลในประเทศอิหร่าน ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมีระยะการเป็นไมเกรนมาประมาณ 7 ปี มีอาการปวดมากกว่า 2 ครั้ง ต่อเดือน เปรียบเทียบระหว่างการให้แคปซูลขิง 250 มิลลิกรัม กับยาแผนปัจจุบันชื่อ “ซูมาทริปแทน” ขนาด 50 มิลลิกรัม เมื่อมีอาการปวดไมเกรน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับประทานขิง อาการปวดไมเกรนลดลงดีเทียบเท่ากับกลุ่มที่รับประทานยาแก้ปวดแผนปัจจุบัน คือสามารถลดอาการปวดไมเกรนได้ถึง 60% ภายในเวลา 2 ชั่วโมงหลังรับประทานยา แต่พบว่าแคปซูลขิง มีข้อดีที่เหนือกว่ายาแผนปัจจุบันคือ ไม่พบอาการข้างเคียงจากการรับประทานยา ในขณะที่ยาซูมาทริปแทน มักทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ ง่วงนอน อาการแสบร้อนที่หน้าอก (Heartburn) ซึ่งการที่ขิงสามารถบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้นั้น น่าจะมาจากการที่ขิงมีฤทธิ์ในการลดกระบวนการอักเสบ ลดอาการปวดในร่างกาย ลดการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (prostaglandins) ที่ทำให้ปวดและอักเสบ ซึ่งยังมีข้อมูลการใช้ของขิงในการบรรเทาอาการปวดข้อ มาก่อนหน้านี้ อีกทั้งขิงยังมีสรรพคุณในการแก้คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ซึ่งอาการดังกล่าวมักพบว่าเป็นอาการนำก่อนที่จะมีอาการปวดไมเกรน จึงถือได้ว่าขิงเป็นสมุนไพรอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ผู้ป่วยไมเกรนได้ลองใช้ดูเวลามีอาการกัน และหากใครชื่นชอบการดื่มน้ำขิงอยู่แล้ว จะจิบน้ำขิงอุ่นๆ เวลาปวดไมเกรน ก็สามารถทำได้เช่นกัน
หรือใครที่มีภาวะเครียด นอนไม่ค่อยหลับ จนเป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดไมเกรนบ่อยๆ ลองรับประทานบัวบกเสริมดูวันละ 2 เม็ด ทุกวัน มื้อใดก็ได้ รับประทานเป็นประจำ หรือถ้าใครมีต้นบัวบกปลูกอยู่ที่บ้าน จะคั้นสดรับประทานวันละ 1 กำมือ หรือประมาณ 7-10 ต้น รับประทานเป็นประจำ จะช่วยลดความกังวล ลดความเครียดและซึมเศร้า ขณะที่การศึกษาในระดับเซลล์ถึงกลไกการออกฤทธิ์บํารุงสมอง พบว่า บัวบกทําให้การหายใจในระดับเซลล์สมองดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาทและเสริมฤทธิ์การทํางานของสารสื่อประสาท และยังทําให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงสามารถนําเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย ซึ่งน่าจะส่งผลดีทั้งต่ออาการไมเกรน และต่อร่างกายของผู้รับประทานด้วย
วิธีเหล่านี้เป็นวิธีธรรมชาติ อาจไม่ได้ผลเร็วเหมือนยาแผนปัจจุบัน แต่ถือได้ว่าเป็นการปรับร่างกายเราให้กลับเข้าสู่สมดุลปกติอีกทางหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาเป็นเดือน ในกรณีที่จำเป็นก็อาจต้องใช้ยาแผนปัจจุบันสักระยะหนึ่งในช่วงแรก สำหรับใครที่ปวดไมเกรนบ่อยๆ มากกว่า 2 ครั้งขึ้นไปต่อสัปดาห์ หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรับประทานยาป้องกันไมเกรน โดยแนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12 เดือนจึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่