เผยแพร่ |
---|
นายกฤษฎา บุญราช รมว.กษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดงานโครงการสร้างเสริมศักยภาพเพื่อขยายตลาดคู่ค้ายางพาราไทย ณ โรงแรมดุสิตธานี กระบี่ บีช รีสอร์ท จ.กระบี่ ว่า การจัดการในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการส่งเสริมการตลาดยางพารา โดยเฉพาะประเทศคู่ค้ายางรายใหม่ๆ ผ่านการชี้แจงนโยบาย แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น การศึกษาดูงานการผลิต การแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางตลอดระยะเวลาการจัดงานตั้งแต่ วันที่ 28-30 มิ.ย. ที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพความเป็นผู้นำของไทยในฐานะผู้ผลิตยางคุณภาพและการส่งออกยางพารารายใหญ่ของโลก
ขณะเดียวกัน ยังเป็นการแสวงหาพันธมิตรคู่ค้าใหม่ในตลาดยางพารา ให้เชื่อมั่นต่อคุณภาพ มาตรฐานและความหลากหลายของการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทย โดยการจัดการครั้งนี้มีผู้ประกอบการรายใหม่กว่า 50 บริษัท จาก 10 ประเทศ ที่มีการนำเข้ายางเพื่อใช้ในประเทศในปริมาณมาก เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เม็กซิโก อิหร่าน เป็นต้น
รวมถึงกระทรวงเกษตรฯ ยังได้เชิญคณะทูตานุทูตที่ประจำอยู่ที่ประเทศไทย กว่า 20 คน จาก 15 ประเทศ ซึ่งประเทศเป้าหมายส่วนใหญ่ยังไม่เคยมีการนำเข้ายางพาราจากไทย หรือยังมีปริมาณที่ไม่มากนัก เช่น รัสเซีย ตุรกี ฟินแลนด์ เม็กซิโก และบราซิล เป็นต้น ดังนั้น หากคณะทูตานุทูตประเทศต่างๆ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องการผลิตยางของไทย ก็จะสามารถให้ข้อมูลกับผู้นำเข้าหรือผู้ประกอบการยางได้อีกทางหนึ่งด้วย
โดยประเด็นสำคัญที่ไทยได้นำเสนอในครั้งนี้คือ การชี้แจงถึงนโยบายรัฐที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้ายางพาราที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และมีความหลากหลาย โดยเกษตรกรในฐานะผู้ผลิต ต้องใส่ใจดูแลการปลูกไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ตามหลักวิชาการและได้มาตรฐานสากล เช่น มาตรฐาน FSC และ PEFC โดยมีการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ทำหน้าที่ดูแลและบริหารจัดการด้านยางพาราของไทยอย่างครบวงจร ในการสร้างความร่วมมือและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการยางพาราจากนานาประเทศ ขณะเดียวกัน กยท. ยังเป็นหน่วยงานสำคัญในการกำกับดูแลและตรวจสอบคุณภาพผลผลิตยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพาราที่มีการส่งออกไปยังตลาดโลกอย่างเข้มงวด ส่งผลให้เกิดการพัฒนาจนได้มาตรฐานการผลิตมาอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพสูงเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก
ตลอดจนขับเคลื่อนศักยภาพการพัฒนาการผลิตยางพาราและอุตสาหกรรมยางพาราในประเทศอย่างต่อเนื่องและครบวงจร จนทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยางพาราธรรมชาติที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและมีความหลากหลาย ซึ่งมีศักยภาพอย่างยิ่งในการนำไปใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเป็นผลผลิตจากพื้นที่ปลูกยางพาราที่อยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ ในพื้นที่รวม 25 ล้านไร่ ซึ่งปลูกและดูแลโดยเกษตรกรชาวสวนยางพารา จำนวน 1.65 ล้านคน
ส่งผลให้ปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตยางธรรมชาติได้มากถึง 4.5 ล้านตัน ต่อปี นับเป็น 1 ใน 3 ของผลผลิตยางรวมกันทั้งโลก และก้าวขึ้นมาเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกอันดับ 1 ของโลก สามารถส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างๆ ด้วยสินค้าที่มีความหลากหลาย มีคุณภาพได้มาตรฐานสากล ทั้งน้ำยางข้น ยางแท่ง และยางแผ่นรมควัน รวมถึงผลิตภัณฑ์จากยางพาราชนิดต่างๆ อาทิ ถุงมือยาง ยางพาหนะ และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ทำมาจากยางพารา สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกสูงเป็น อันดับ 3 ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดของประเทศ ด้วยมูลค่าที่มากกว่า 5 แสนล้านบาท
“ปัจจุบัน ประเทศไทย มีการส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรมยางพาราจากต่างประเทศ โดยมอบสิทธิประโยชน์พิเศษตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และยังมีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมยางพารา หรือ Rubber City ขึ้น ที่ จ.สงขลา พื้นที่ 1,218 ไร่ ที่มีศักยภาพพร้อมรับการลงทุนทั้งอุตสาหกรรมนวัตกรรมยางพารา อุตสาหกรรมจากน้ำยางข้น อุตสาหกรรมยางคอมปาวด์ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่สำคัญประเทศไทยเปิดกว้างอย่างเต็มที่ในการแสวงหาเพื่อสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าการตลาดยางพาราระดับนานาชาติ เพื่อร่วมกันสร้างให้ไทยได้กลายเป็นประเทศผู้รับจ้างผลิตในรูปแบบ โออีเอ็ม ซึ่งความพร้อมและศักยภาพอย่างครบวงจรทั้งหมดนี้ ประเทศไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางในการรับผลิตยางพาราตามความต้องการของผู้ประกอบการยางพาราและผู้นำเข้ายางจากทั่วโลก ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลต่อเสถียรภาพราคายางพาราได้” นายกฤษฎา กล่าว
ที่มา : ข่าวสดออนไลน์