การใช้เชื้อราบิวเวอเรีย ปราบเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังอย่างถูกต้อง

เชื้อรามีด้วยกันหลายประเภท เชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกับคน กับพืช และแมลง เชื้อราที่ใช้กับแมลงจะไม่ทำให้เกิดโรคในคนหรือในพืช ในขณะเดียวกันเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกับแมลง ก็ยังเฉพาะเจาะจงกับในกลุ่มของแมลงอีกด้วย เชื้อราที่จะกำจัดแมลงชนิดใดก็จะต้องเป็นเชื้อราสายพันธุ์ที่สกัดเอาเชื้อที่มีอยู่ในแมลงชนิดนั้น แล้วนำไปเพิ่มจำนวนสปอร์ฉีดพ่นแมลงชนิดนั้น เพราะมีประสิทธิภาพดีกว่าที่จะไปสกัดเอาเชื้อจากแมลงชนิดอื่นมาใช้

ถ้าเราต้องการเชื้อราบิวเวอเรียไปฆ่าเพลี้ยแป้งมันสำปะหลัง เราก็ต้องไปเก็บเพลี้ยแป้งในธรรมชาติที่ตายด้วยเชื้อราชนิดนั้นมาสกัด แล้วนำมาขยายเพิ่มปริมาณสปอร์ ซึ่งจำนวนสปอร์จะต้องมีปริมาณตามมาตรฐานที่กำหนด คือ 20 ล้านสปอร์ต่อ 1 ซีซี การใช้เชื้อราบิวเวอเรียในการกำจัดเพลี้ยแป้ง ต้องใช้ในอัตรา 100 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารผสม 20 ลิตร ต้องมีอย่างน้อย 2,000 ล้านสปอร์

ปัจจัยที่เอื้อต่อการใช้เชื้อราบิวเวอเรียให้เกิดประสิทธิผล

เนื่องจากเชื้อราเป็นสิ่งมีชีวิต การนำไปใช้จะได้ผลหรือไม่ ต้องอาศัยปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องหลายอย่าง ได้แก่ อุณหภูมิ ความชื้น แสงกับช่วงเวลา และตัวของแมลงเอง

อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับเชื้อราบิวเวอเรียที่จะทำให้เชื้อรางอกสปอร์ได้ดี จะอยู่ในระหว่าง 25-27 องศาเซลเซียส ดังนั้น หากเกษตรกรซื้อมาแล้วยังไม่ได้ใช้ จะต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 25-27 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิสูงกว่านี้ สปอร์จะไม่เจริญเติบโตและเสื่อมคุณภาพ เมื่อนำเชื้อราไปพ่นกำจัดแมลงหรือเพลี้ยก็จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร

ความชื้น  ความชื้นที่เหมาะสมสำหรับพ่นเชื้อราบิวเวอเรีย ต้องมีความชื้นสูงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ความชื้นที่เหมาะสมที่สุด คือช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่ในบรรยากาศมีความชื้นสูง  เนื่องจากความชื้นจะไปกระตุ้นให้สปอร์งอกออกมาและแทงทะลุผ่านเข้าไปในตัวแมลงหรือตัวเพลี้ย แต่ถ้าจะพ่นในช่วงฤดูฝนต้องดูว่าช่วงนั้นมีเพลี้ยระบาดหรือเปล่า เพราะโดยธรรมชาติฝนจะช่วยลดการระบาดของเพลี้ยอยู่แล้ว  แต่เนื่องจาก เพลี้ยแป้ง มักจะระบาดในช่วงแล้ง ซึ่งอุณหภูมิและความชื้นไม่เหมาะต่อการพ่นเชื้อรา ดังนั้น เกษตรกรจะต้องมีความเข้าใจในธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดนี้ จึงจะสามารถใช้เชื้อราให้เกิดประสิทธิผล

แสง กับช่วงเวลา การที่จะพ่นเชื้อราบิวเวอเรียให้ได้ผล คือต้องเป็นช่วงเวลาเย็นที่อากาศมีความชื้นสูงและอุณหภูมิต่ำ การที่เลือกเวลาพ่นเชื้อราในตอนเย็น ก็เพื่อไม่ให้โดนแสงแดด เพราะแสงแดดจะทำให้เชื้อราเสื่อมคุณภาพเร็วยิ่งขึ้น

ตัวแมลง เพลี้ยแป้ง มีลักษณะเฉพาะตัวของมันเอง คือ มีแป้งคลุมตัวอีกชั้นหนึ่ง การพ่นเชื้อรากว่าสปอร์จะทะลุเข้าไปถึงตัวชั้นใน จะต้องผ่านแป้งที่คลุมอยู่อีกหนึ่งชั้น ดังนั้นการใช้เชื้อรากำจัดเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังจึงยากกว่าการกำจัดเพลี้ยธรรมดา และระยะที่เหมาะสมกับการพ่นเชื้อรา คือช่วงระยะตัวอ่อน ซึ่งเพลี้ยแป้งยังไม่มีแป้งมาปกคลุมลำตัว

การฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอเรีย

การพ่นเชื้อราบิวเวอเรียในแปลงมันสำปะหลังเพียงครั้งเดียวไม่ได้ผล ต้องพ่นซ้ำ 2-3 ครั้ง ขึ้นไป และต้องพ่นในช่วงที่แมลงยังตัวเล็กๆ การพ่นต้องให้ถูกตัวแมลงด้วย เนื่องจากเชื้อราเป็นสิ่งมีชีวิต การออกฤทธิ์ของเชื้อราไม่เหมือนสารเคมีซึ่งสามารถดูดซึมผ่านไปสู่เนื้อเยื่อได้ เมื่อเพลี้ยมาดูดกินก็จะได้รับสารเคมีทำให้เพลี้ยตาย

ในกรณีที่เพลี้ยเกาะอยู่ใต้ใบ หากพ่นเชื้อราไปตกอยู่บนใบ เชื้อราจะไม่ออกฤทธิ์ฆ่าแมลงได้  ดังนั้นการพ่นเชื้อราต้องให้สปอร์ไปตกหรือถูกตัวแมลงเท่านั้นจึงจะทำลายเพลี้ยได้  อย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงช่วงเวลา แสง อุณหภูมิ และความชื้นที่เหมาะสมดังกล่าวเป็นสำคัญ  สปอร์จึงจะงอกเส่นใยออกมาแทงทะลุเข้าไปในตัวเพลี้ยแป้งได้

การใช้อุปกรณ์พ่นสารเคมีร่วมกับอุปกรณ์พ่นเชื้อรา

ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถใช้อุปกรณ์ตัวเดียวกันได้ แต่จะต้องเปิดรูหัวฉีดให้กว้างขึ้นถ้าเราไม่ปรับหัวฉีดให้รูกว้างขึ้น อาจทำให้อุปกรณ์ส่วนอื่นอุดตันได้ โดยเฉพาะที่หัวฉีด เพราะการใช้เชื้อราพวกนี้ต้องการความชื้นมาก จึงจำเป็นต้องเปิดรูให้กว้างขึ้น ปริมาณน้ำที่ใช้ผสมจะต้องมากกว่าการพ่นสารเคมี จึงจะทำให้มีความชื้นมากและต้องพ่นให้เปียกโชก ควรผสมสารจับใบด้วยเพื่อให้สปอร์เกาะพืชดีขึ้น

การซื้อเชื้อราจากร้านค้ามาใช้ปราบศัตรูพืช เกษตรกรควรสังเกตสถานที่เก็บเชื้อราว่า วางอยู่ในสถานที่อย่างไร ที่สำคัญคือ ต้องไม่โดนแสงแดด ไม่โดนลม ดังที่กล่าวแล้วว่าเชื้อราเป็นสิ่งมีชีวิต หากอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิสูง สปอร์จะเสื่อมคุณภาพ คุณภาพของเชื้อราจะลดลง เกษตรกรนำไปใช้ไม่ได้ผล

ดังนั้น เกษตรกรที่จะใช้เชื้อราในการป้องกันกำจัดเพลี้ยหรือแมลงศัตรูพืช จะต้องศึกษาและเข้าใจในธรรมชาติของเชื้อรา และแมลงศัตรูพืชแต่ละชนิด และใช้ให้ถูกวิธีการกำจัดจึงจะได้ผล

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มวิจัยกีฏและสัตววิทยา และกลุ่มงานวิจัยการปราบศัตรูพืช ทางชีวภาพ สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร โทร. 0-2579-5583 และ 0-2579-7542