‘เมล็ดกาแฟไทย’ ตกที่นั่งลำบากหลังเปิดเสรี TAFTA

พาณิชย์ถกเอกชนเตรียมพร้อมรับมือ “กาแฟออสเตรเลีย” ถล่มไทย หลัง FTA ขีดเส้นไทยยกเลิกโควต้าลดภาษี 0% ปี’63 ด้านสมาคมกาแฟฯ หวั่นแข่งขันลำบาก ติดปัญหาวัตถุดิบไม่พอ-นำเข้ามีโควต้า บังคังประกันราคารับซ้อจากเกษตรสูงกว่าตลาดโลก แบกต้นทุนอ่วม แนะยกเลิกโควต้าช่วยเอกชนนำเข้าวัตถุดิบเสรีจากเพื่อนบ้านอาเซียน พร้อมยกระดับกาแฟพรีเมี่ยม

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวในการเป็นประธานงานสัมมนา “อนาคตการค้ากาแฟไทยในโลกค้าเสรี” เพื่อเปิดรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมกาแฟ เพื่อเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากลดภาษีนำเข้าตามความตกลงเปิดการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) ว่า ไทยต้องยกเลิกโควต้าและลดภาษีเมล็ดกาแฟดิบ-เมล็ดกาแฟคั่ว-กาแฟสำเร็จรูป เป็น 0% ในวันที่ 1 มกราคม 2563 จากปัจจุบันที่เมล็ดกาแฟ จัดอยู่ในกลุ่มสินค้าเกษตรที่มีการกำหนดโควต้านำเข้า (TRQ) ปีละ 2.25 ตัน ภาษี 4% หากนำเข้านอกโควต้ามีภาษี 81% ส่วนกาแฟสำเร็จรูป กำหนดโควต้าปีละ 134 ตัน ภาษีนำเข้า 5.33% หากนำเข้านอกโควต้ามีภาษี 44.1%

“การรับฟังความเห็นทำ 2 ครั้ง ที่จังหวัดเชียงราย แหล่งปลูกอาราบิก้าก่อนครั้งต่อไปจัดในภาคใต้แหล่งปลูกโรบัสต้า เพื่อนำผลสรุปเสนอต่อปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก่อนนำไปหารือในคณะอนุกรรมการพืชสวน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดแนวทางในการบริหารจัดการสินค้าต่อไป”

เบื้องต้นหากผู้เกี่ยวข้องกังวล ภาครัฐมีมาตรการดูแลทั้งกองทุน FTA กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ การนำผู้ประกอบการไปร่วมงานแฟร์ และกรมทรัพย์สินทางปัญญาช่วยส่งเสริมเรื่องอัตลักษณ์สร้างมูลค่าเพิ่มให้กาแฟไทยส่งไปตลาดโลกได้

นางวารี สดประเสริฐ นายกสมาคมกาแฟไทย กล่าวว่า การลดภาษีตามความตกลง ส่งผลให้ไทยแข่งขันได้ยากเพราะไทยผลิตวัตถุดิบได้ปีละ 25,000-26,000 ตัน ต้องนำเข้าปีละ 50,000-60,000 ตัน มีระบบโควต้าภาษี และเงื่อนไขต้องซื้อกาแฟจากเกษตรกรในประเทศในราคาประกันที่รัฐกำหนด ซึ่งสูงกว่าตลาดโลก หรือหากต้องการนำเข้านอกโควต้าเสียภาษี 90% จึงมีต้นทุนสูงกว่าออสเตรเลียที่นำเข้าแบบไร้ภาษี มีเทคโนโลยีการคั่วกาแฟทันสมัย และมีแบรนด์ที่มีศักยภาพขยายไปสู่ตลาดโลกได้ และบางแบรนด์เริ่มขยายตลาดมาไทย เช่น the Coffee Club แต่ไทยขยายตลาดไปออสเตรเลียไม่ได้ เพราะคนออสเตรเลียนิยมบริโภคแบรนด์ออสเตรเลีย

แนวทางแก้ไขต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน เกษตรกรต้องยกระดับการผลิตกาแฟพรีเมี่ยม คุณภาพดีสม่ำเสมอ ภาครัฐต้องแก้ไขกฎ/ระเบียบเก่า เช่น ยกเลิกระบบโควต้าและภาษี จากเดิมไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออก ต้องปกป้องเกษตรกร แต่ปัจจุบันนำเข้ามาแปรรูป ส่งออก จึงควรปลดล็อก เพื่อให้นำเข้าต้นทุนต่ำลง เพราะไทยอยู่ในยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของแหล่งปลูกกาแฟในอาเซียนทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ลาว เมียนมา ซึ่งลดภาษีตามกรอบอาฟต้าไปแล้ว จึงควรดึงประเทศเหล่านี้มาเป็นพาร์ตเนอร์ ส่งวัตถุดิบให้ไทยมีทางเลือกเพราะไทยไม่สามารถเพิ่มขึ้นที่ปลูกได้ หากไม่แก้ไขทำให้แข่งขันไม่ได้ ท้ายที่สุดส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูก

นายธีรวัฒน์ วงศ์วรทัต นายกสมาคมกาแฟและรองประธานสมาคมกาแฟเอเชีย กล่าวว่า ภารรัฐควรส่งเสริมเกษตรกรยกระดับประสิทธิภาพการผลิต จัดเกรดและควบคุมมาตรฐาน พร้อมสร้างเอกลักษณ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กาแฟไทยโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ มาช่วยผูกโยงการทำธุรกิจบริการกาแฟเข้ากับการท่องเที่ยว หรือธุรกิจบริการอื่นๆ เช่น สร้างจุดให้บริการ Coffee Station ที่จังหวัดเชียงราย แหล่งปลูกกาแฟอาราบิก้า มีแบรนด์ดอยช้างเป็นที่รู้จัก เพื่อให้เป็นสถานที่จำหน่ายจุดนัดพบ เช็กอิน เป็นต้น

นางสาวราตรี เม่นประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2557-2561 ไทยผลิตเมล็ดกาแฟได้ปีละ 26,000 ตัน ขณะที่ความต้องการใช้กาแฟเพิ่มขึ้นจาก 70,000 เป็น 90,000 ตัน ปีนี้คาดว่าความต้องการเพิ่มขึ้นใกล้เคียง 1 แสนตัน ไทยจึงต้องนำเข้าปีละ 58,000-60,000 ตันจ จากเวียดนาม และมาเลเซีย

ที่มา : ขอบคุณข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ