คนเกษตร ปลูกองุ่นไร้เมล็ด ได้ผลดี ที่เมืองพะเยา

คุณนิทัศน์และคุณโสภา สุขแสนโชติ หรือพี่ตุ๋ยและพี่ต้อย หันเหจากอาชีพรับราชการออกมาจับอาชีพเกษตรกรรมอย่างจริงจัง ศึกษาค้นคว้าทำมาหลายอย่างแต่มาจบที่องุ่นไร้เมล็ด

คุณนิทัศน์เข้าเรียนเกษตรที่จังหวัดน่านเมื่อปี 2518 รุ่น 38 จบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ภูมิลำเนาเดิมเป็นคนพะเยา เมื่อจบการศึกษาทางด้านเกษตรก็สอบเข้ารับราชการเมื่อปี 2523 ในตำแหน่งเจ้าพนักงานการเกษตร 2 วนเวียนอยู่ในจังหวัดพะเยา ระหว่างรับราชการก็ได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ตำแหน่งสุดท้ายคือนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ และตัดสินใจลาออกก่อนเกษียณในปี 2557 ส่วนคุณโสภาหรือพี่ต้อย ภูมิลำเนาเดิมเป็นคนแม่จัน จังหวัดเชียงราย เข้าเรียนที่เกษตรจังหวัดน่านในปี 2518 รุ่น 38 เหมือนกัน แต่เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) แล้วออกมารับราชการที่สถานีประมงน้ำจืด จังหวัดพะเยา ระหว่างรับราชการก็ศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีเช่นกัน และลาออกก่อนเกษียณในปี 2557 ตามพี่ตุ๋ย ตำแหน่งสุดท้ายคือ หัวหน้ากลุ่มบริหารจัดการด้านประมง สำนักงานประมงจังหวัดพะเยา

คุณนิทัศน์ และคุณโสภา สุขแสนโชติ เจ้าของแปลง

ข้อมูลทางวิชาการ จากองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ระบุว่า องุ่นมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Vitisvinifera องุ่นไม่มีเมล็ด-องุ่นดำ เขียว แดง Seedless grape  องุ่น เป็นไม้ผลชนิดเถาเลื้อยที่มีอายุยาวนานหลายปี สามารถปลูกได้ในสภาพภูมิอากาศหลายแบบ แต่องุ่นที่ปลูกในสภาพที่มีอากาศหนาวเย็นจะมีคุณภาพสูงกว่า องุ่นเป็นไม้ผลวงศ์ Vitacea สกุล Vitis มีหลายชนิด แต่พันธุ์ที่ปลูกอยู่ในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นชนิด Vitisvinifera มีถิ่นกำเนิดในเอเชียที่มีอากาศอบอุ่น อุณหภูมิ 10-20 องศาเซลเซียส หรืออยู่ระหว่างเส้นแวง (latitute) ที่ 20 องศาและ 51 องศาเหนือ และ 20 องศา และ 40 องศาใต้ แต่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในเขตอากาศกึ่งร้อนถึงร้อน สำหรับประเทศไทยเชื่อว่านำเข้ามาปลูกในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งปี พ.ศ.2493 หลวงสมานวนกิจได้นำองุ่นจากแคลิฟอร์เนียมาปลูกที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมวิชาการเกษตร ต่อมาในปี 2506 ศาสตราจารย์ปวิณ ปุณณศรี และคณะ ได้นำองุ่นยุโรปหลายสายพันธุ์มาทดลองปลูก ประสบความสำเร็จและขยายผลไปสู่เกษตรกรในเขตภาคกลาง ปลูกเป็นการค้าจนกระทั่งปัจจุบัน

 

ลักษณะโดยทั่วไป

องุ่น เป็นไม้เลื้อยประเภทยืนต้น มีอายุยาวนานหลายปี การปลูกจะต้องมีค้างรองรับ เถาองุ่นจะมีลักษณะเป็นปล้อง บริเวณข้อจะมีใบ 1 ใบอยู่เรียงสลับกันไปตามข้อ และมีมือจับซึ่งเป็นช่อดอกที่ไม่พัฒนาอยู่ตรงข้ามกับใบ บริเวณโคนก้านใบจะมีกิ่งแขนงเล็ก 1 กิ่งและตา 1 ตา เป็นตารวมประกอบด้วยตาเอก (Primary bud) 1 ตาอยู่ตรงกลางและตารอง (Secondary bud) 2 ตา ตาเอกมีความสำคัญมาก เพราะประกอบด้วยตายอดมือและกลุ่มของดอก ผลองุ่นจะมีลักษณะเป็นพวงแบบที่เรียกว่าราคีส (rachis) ผลมีหลากหลายลักษณะ ขนาดและสีภายในผลอาจมีเมล็ดหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับพันธุ์ ในเขตอบอุ่นหรือเขตหนาว องุ่นจะพักตัวในฤดูหนาว เมื่ออากาศอบอุ่นก็จะแตกตาเกิดยอดใหม่ซึ่งจะออกดอกและติดผลบนกิ่งใหม่ แต่ในประเทศไทยซึ่งอากาศไม่หนาวเย็น ต้นองุ่นจะไม่พักตัว วิธีการทำให้องุ่นให้ผลผลิตคือ เมื่อกิ่งแก่เป็นสีน้ำตาลแล้ว จะใช้วิธีการตัดแต่งและใช้สารบังคับให้ตาแตกออกมาเป็นยอดใหม่และออกดอกให้ผลผลิต

 

ป้ายสวน

สภาพภูมิอากาศและปัจจัยที่เอื้ออำนวย

เนื่องจากองุ่นมีหลายสายพันธุ์ และเป็นพืชที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศต่างๆ ได้ดี จึงสามารถปลูกได้ในสภาพพื้นที่หลากหลาย แต่บนพื้นที่สูงที่มีอากาศหนาวเย็นจะทำให้องุ่นออกดอกและให้ผลผลิตได้ดีและผลผลิตมีคุณภาพดี อย่างไรก็ตาม บนพื้นที่สูงจะมีปัญหาฝนตกมากเกินไปและแสงแดดน้อย ทำให้มีปัญหาเรื่องโรคทำลายมากจึงควรปลูกในสภาพโรงเรือน

 

พันธุ์องุ่น

พันธุ์ที่นิยมปลูกมี 3 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ Beauty Perlette (สีเหลือง) พันธุ์ Ruby Seedless (สีแดง) และพันธุ์ Loose Perlette (สีเหลือง) โครงการหลวงได้ศึกษารวบรวมพันธุ์องุ่นไว้หลากหลายพันธุ์ และทำการวิจัยโดยมุ่งเน้นพันธุ์รับประทานสดที่มีคุณภาพดี ปัจจุบันมีพันธุ์ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก 2 พันธุ์ คือ

  1. พันธุ์บิวตี้ ซีดเลส (Beauty Seedless) เป็นองุ่นชนิดไม่มีเมล็ด ผลกลมมีสีดำ ขนาดผลเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร เปลือกผลหนา รสชาติหวานอร่อย อายุตั้งแต่ตัดแต่งกิ่งจนถึงเก็บเกี่ยว (ประมาณ 5-6 เดือน)
  2. พันธุ์รูบี้ ซีดเลส (Ruby Seedless) เป็นองุ่นไม่มีเมล็ดเช่นกัน แต่ผลมีขนาดใหญ่ ลักษณะยาวรี สีแดง ช่อผลมีขนาดใหญ่ เปลือกหนากว่าพันธุ์ Beauty Seedless รสชาติหวาน กรอบ อร่อย อายุตั้งแต่ตัดแต่งกิ่งจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 6-7 เดือน

นอกจากนี้ยังมีพันธุ์องุ่นอื่นๆ อีกหลายพันธุ์ที่มีความสำคัญ ได้แก่ ต้นตอพันธุ์ 1613C (Othello x Selonis) และพันธุ์ที่อยู่ในระหว่างการศึกษาทดลองเช่น พันธุ์ Kyoho, Honey Red, Frame Seedless และ Early Muscat เป็นต้น

 

ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิต

องุ่นสามารถตัดแต่งต้นให้มีผลผลิตได้ตลอดปี แต่บนที่สูงจะนิยมบังคับองุ่นให้มีผลผลิต ในช่วงเวลาที่ผลผลิตมีคุณภาพสูงคือในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม และเดือนมีนาคม-พฤษภาคม

 

ตลาดและการใช้ประโยชน์

องุ่นเป็นผลไม้ที่คนไทยรู้จักคุ้นเคยมานานแล้ว ส่วนใหญ่จะนิยมบริโภคผลสด และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น น้ำองุ่นและไวน์ สำหรับองุ่นที่มูลนิธิโครงการหลวงปลูก ส่วนใหญ่เน้นเพื่อการบริโภคผลสดเป็นหลัก

สำหรับการปลูกองุ่นไร้เมล็ดของคุณตุ๋ยและคุณต้อยนั้น ในช่วงที่รับราชการ ทั้งสองคนก็ทำอาชีพการเกษตรเป็นอาชีพรองไปด้วย และทำมาหลายอย่างด้วยกัน เช่น ขิง ฟักทอง สวนสักทอง มะม่วง ฝรั่งตอนกิ่งจำหน่าย รับจ้างปลูกต้นจามจุรีหรือฉำฉา โดยจะดูแลจนติดความสูง 2 เมตรในราคาต้นละ 20 บาท และรับเปลี่ยนยอดมะม่วงยอดละ 10 บาท รับรองจนติดจึงเก็บเงิน

เมื่อลาออกจากราชการจึงหันมาลงมือทำการเกษตรเต็มเวลา โดยคุณตุ๋ยสนใจการปลูกองุ่นอยู่แล้ว ได้ศึกษาตามสื่อไอทีและไปศึกษาจากแปลงปลูกในหลายๆ ที่ในเขตภาคเหนือตอนบนเพื่อนำมาปรับใช้ ครั้งสุดท้ายชวนคุณต้อยภรรยาไปเที่ยวที่จังหวัดเชียงรายแถบอำเภอเทิงและเวียงแก่น เผอิญได้พบนักวิชาการเกษตรของโครงการหลวงที่ดูแลการส่งเสริมการปลูกองุ่นให้กับเกษตรกรชนเผ่า ทางนักวิชาการเกษตรถามว่า ตั้งใจจะปลูกสักกี่ต้น ด้วยความที่ทราบข้อมูลมาไม่มากเพราะตอนเรียนก็ไม่ได้มีการสอนเป็นการเฉพาะเจาะจง คิดว่าคงเหมือนกับพืชอื่นทั่วไป จึงตอบไปว่าจะปลูกสัก 200 ต้น เขาบอกว่าการลงทุนสูงมาก ในระยะแรก ถ้าปลูก 200 ต้นลงทุนหลักแสน ต้นหนึ่งลงทุนที่ 4,500-5,000 บาท เลยทีเดียว เพราะองุ่นถือเป็นพืชมรดกในไทยจะให้ผลผลิตได้ถึงอายุ 50-60 ปี ส่วนในต่างประเทศนานเป็น 200 ปี สวนนี้ปลูกในที่ดินที่เช่าจากสำนักงานการปฏิรูปที่ดิน ตั้งชื่อว่า “สวนบ้านแสนสุข” อยู่บริเวณบ้านห้วยเคียน ตำบลแม่กา ฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยพะเยา

เจ้าของปลูกจะปลูกในโรงเรือนเพื่อป้องกันปัญหาโรคแมลงและนกที่จะเข้ามาจิกกินผลองุ่น หากปลูกแบบนอกโรงเรือนต้องใช้สารเคมีมาก การปลูกใช้ระบบปลอดภัยจากสารพิษ จะใช้สารเคมีในช่วงที่เมล็ดขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ช่วงอื่นจะใช้วิธีกล

ศัตรูที่สำคัญขององุ่นคือเพลี้ยไฟ แต่ด้วยความที่เป็นนักวิชาการเกษตรมาก่อน รู้ถึงอุปนิสัยของแมลงตัวนี้ดีว่าไม่ชอบความชื้นหรือน้ำฝน จึงฉีดพ่นน้ำในแปลงปลูก เพลี้ยไฟคงคิดว่าฝนตกจึงไม่เข้าทำลาย ด้านข้างของโรงเรือนจะล้อมด้วยตาข่ายเพื่อกันนก

ในฤดูหนาว องุ่นในสวนนี้จะให้ผลผลิตมาก เจ้าของสวนสามารถกำหนดวันให้ผลผลิตออกได้โดยนับวัน 110 วัน หลังตัดแต่งกิ่งใบ (พรุนกิ่ง) ฤดูร้อนจะให้ผลผลิตน้อย เนื่องจากองุ่นเป็นพืชที่ให้ผลผลิตยาวนาน ฉะนั้น การเตรียมหลุมปลูกจึงมีความสำคัญ

ในสวนของคุณตุ๋ยและคุณต้อย ใช้พื้นที่ประมาณ 1 ไร่ ปลูกจำนวน 39 ต้น มี 4 สายพันธุ์คือ บิ้วตี้ซีดเลส ซื้อมาจากไร่ของพ่อหลวงเซ้ง ใกล้มูลนิธิโครงการหลวงหนองหอย เฟรมซีดเลสและป๊อกดำ สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตจากนนทบุรี ส่วนพันธุ์ราชินีซื้อจากร้านขายต้นไม้ในงานเทศกาลกินปลาของเทศบาลเมืองพะเยา การเลือกพื้นที่ปลูก จังหวัดพะเยาต้องอยู่ในระดับความสูงกว่าน้ำทะเล 300-1550 เมตร และอยู่บริเวณที่มีภูมิอากาศหนาวเย็น มีแสงแดดดีมาก เนื่องจากเป็นการเริ่มปลูก (ทดลองปลูก) จึงเลือกที่ว่างบนคันสระน้ำหน้าบ้านซึ่งมีพื้นที่กว้างพอสำหรับปลูกได้ 1 แถว มีการปรับพื้นที่ให้เรียบก่อนขุดหลุมปลูก แหล่งน้ำที่ใช้เป็นบ่อน้ำตื้นและประปาหมู่บ้าน การเตรียมหลุมขุดขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร ลึก 1 เมตร ใส่ขี้วัว ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ปุ๋ยยูเรีย และเชื้อไตรโคเดอร์มา ผสมคลุกเคล้ากับดินให้เต็มหลุม เริ่มปลูกเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี 2555

หลังคามุงด้วยพลาสติก

การสร้างโรงเรือน ใช้หลักการของโครงการหลวง โดยเหตุผลของการสร้างโรงเรือนนั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเนื่องจากอยู่ใกล้ที่อยู่อาศัย หลังคามุงด้วยพลาสติกใสความหนา 150 ไมครอน หน้ากว้าง 4 เมตร ล้อมด้านข้างด้วยตาข่ายเพื่อป้องกันนกและค้างคาว ค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงเรือนรวม 150,000 บาท แยกเป็นค่าวัสดุ 95,000 บาท ค่าแรง 30,000 บาท อื่นๆ 25,000 บาท ค่าพันธุ์องุ่นต้นละ 200 บาท

 

ดูแลรักษาอย่างไร

การดูแลเอาใจใส่หลังจากปลูกครบ 1 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยดังนี้

ปุ๋ยทางดิน ปุ๋ยน้ำชีวภาพ ทุก 10 วัน อัตรา 1 ขวดเครื่องดื่มชูกำลังต่อน้ำ 20 ลิตร ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ทุก10 วันอัตรา 2 ช้อนโต๊ะหว่านรอบต้น ปุ๋ยยูเรียทุก 10 วัน อัตรา 1 ช้อนโต๊ะ หว่านรอบต้น ปุ๋ยทางใบ พ่นไคโตรซาน ปุ๋ยน้ำชีวภาพ อัตรา 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 10 วัน โดยปฏิบัติตั้งแต่อายุ 1 เดือน ถึง 10 เดือน

สำหรับการจัดรูปทรงกิ่งและต้น…หลังจากปลูกแล้วต้องคอยสังเกตว่าเถาจะเลื้อย เตรียมสร้างกิ่งแขนงใน 1-2 เดือน หลังจากปลูก จัดรูปทรงให้เป็นตัว H และผูกเถาองุ่นด้วยเชือกพลาสติก เพื่อสร้างกิ่งแขนงผูกกับลวดที่ขึงตึงไว้ให้ได้รูปเป็นก้าง โดยคอยสังเกตการทอดยอดของเถาองุ่นและตัดแต่งยอดเถาที่ไม่ต้องการทิ้ง

ป้องกันโรคแมลง…ใช้ลูกเหม็นใส่ถุงพลาสติก เจาะรูให้กลิ่นลูกเหม็นกระจายออกจากถุง เพราะกลิ่นของลูกเหม็นจะไล่แมลงศัตรู โดยผูกถุงไว้กับลวดเป็นจุดๆ ระยะห่างตามความเหมาะสม ใช้มหาหิงค์ก้อนซึ่งมีกลิ่นฉุน ละลายน้ำกับน้ำร้อน อัตรา 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 10 วัน หรือใช้สารชีวภาพ อัตรา 1 ขวดเครื่องดื่มชูกำลัง ฉีดพ่นทุก 10 วัน เพื่อป้องกันเชื้อราและกำจัดแมลงศัตรูพืช โดยปฏิบัติเป็นประจำตั้งแต่อายุ 1-10 เดือน

การบังคับออกดอก…วิธีปฏิบัติ งดให้น้ำ 15-30 วัน (15 กรกฎาคม -16 สิงหาคม) จากนั้นตัดแต่งใบหรือการพรุนใบทั้งต้น (ตัดยาว) เหลือตาบน ข้อที่ 8-10 ป้ายสารคอร์แมคซ์ ปลายกิ่งตาที่ 1-4 (16 สิงหาคม) ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 รดน้ำให้ชุ่มก่อนที่มันจะออกดอก พ่นสารป้องกันโรครา ใส่ปุ๋ย 15-15-15 สองสัปดาห์ต่อครั้งจนดอกบาน หลังดอกบาน 7-10 วัน ฉีดฮอร์โมนยืดช่อดอกครั้งที่ 1 จากนั้นพ่นครั้งที่ 2 เพื่อสลัดผล เมื่อติดผลขนาดหัวไม้ขีดไฟ ซอยผลออก 40 เปอร์เซ็นต์ ระยะติดผลใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ครั้งที่ 2 หลังอายุผล 60 วัน ใช้สูตร 13-13-21 ครั้งที่ 3 หลังอายุผล 90 วัน ใช้สูตร 0-0-60 ส่วนอาหารเสริมแคลเซียมโบรอน สูตร 21-21-21 ฉีดพ่นทุก 7 วัน ก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต 7-15

ด้านข้างคลุมด้วยตาข่ายป้องกันนก

สำหรับตลาด การจำหน่ายผลผลิตไม่มีปัญหา มีผู้สั่งจองทั้งเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยพะเยา เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลในจังหวัดพะเยา แม่ค้าในตลาด พนักงานบริษัทรถยนต์ในกรุงเทพฯ ส่งทางรถทัวร์ พนักงานธนาคารจนผลผลิตไม่พอจำหน่าย เพราะคุณภาพขององุ่นที่นี่จะกรอบอร่อย ที่อื่นๆ อาจนิ่มและไม่กรอบเหมือนในสวนนี้

การปลูกองุ่นไร้เมล็ด ถือเป็นพืชที่แนะนำให้ผู้ที่เกษียณอายุสามารถทำเป็นสวนหลังบ้านสัก 10 ต้น เพราะไม่ต้องการดูแลมากมาย ทำงานในช่วงเช้าๆ พอสายหลัง 9 โมงก็พักผ่อนได้ การให้น้ำก็ใช้ระบบท่อ หรือระบบสปริงเกอร์หัวพ่นฝอยได้ ผลผลิตต้นหนึ่งไม่ต่ำกว่า 5 กิโลกรัม ราคาขายทั่วไปอยู่ที่กิโลกรัมละ 200 บาท แต่ที่สวนนี้ขายเพียง 180 บาทเท่านั้น

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือศึกษาดูงาน ติดต่อที่สวนองุ่นไร้เมล็ดบ้านแสนสุข เลขที่ 215 หมู่ที่ 2 บ้านห้วยเคียน ตำบลแม่กา อำเภอเมืองพะเยา โทรศัพท์ 08-1783-4428