ผู้เขียน | สาวบางแค 22 |
---|---|
เผยแพร่ |
มะม่วง เป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยอย่างมหาศาล และมีอัตราการเติบโตถึงปีละ 10-15% ทำให้มะม่วงเป็นไม้ผลที่มีเนื้อที่ปลูกมากที่สุดในประเทศกว่า 2 ล้านไร่ มะม่วงไทยมีจุดเด่นหลายด้านที่กินขาดคู่แข่งขัน ทั้งด้านรสชาติ “หวาน หอม อร่อย” และจุดเด่นด้านคุณภาพ “สด สะอาด ปลอดภัย” รวมทั้งมีเทคนิคการดูแลจัดการหลังการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ทำให้มะม่วงเป็นสินค้าขายดีทั้งในประเทศและส่งออก
“สวนลุงสอน” ศูนย์รวมไม้ผลและกิ่งพันธุ์คุณภาพดี
หากใครอยากได้มะม่วงพันธุ์แท้ คุณภาพดี ขอแนะนำให้แวะชมและเลือกซื้อพันธุ์ไม้ได้ที่ “สวนลุงสอน” บ้านเลขที่ 55/1 หมู่ที่ 14 ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ 60110 โทร. (081) 888–6245, (089) 666–7580 ปัจจุบัน สวนแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของทายาทรุ่นที่สอง คือ คุณแดง หรือ คุณเจษฎา สุวรรณศรี
คุณแดง บอกว่า สวนลุงสอน เป็นกิจการของพ่อตา บางคนรู้จักในชื่อนครสวรรค์พันธุ์ไม้ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่นิยมเรียกติดปากว่า สวนลุงสอน เมื่อกิจการนี้กลายเป็นมรดกตกทอดมาอยู่ในมือตัวเองและภรรยา ก็ไม่คิดเปลี่ยนชื่อกิจการ เพราะชื่อ “สวนลุงสอน” ฟังดูขลังดี และเป็นมงคลชีวิต เพราะคุณพ่อตา เป็นเกษตรกรดีเด่นของจังหวัดนครสวรรค์ ปี 2559 เชี่ยวชาญด้านการผลิตกิ่งพันธุ์ไม้คุณภาพดี หากใครอยากได้กิ่งพันธุ์คุณภาพดีก็ต้องแวะเข้ามาซื้อหาได้ที่สวนแห่งนี้ ชื่อสวนลุงสอนนับเป็นเครื่องหมายการค้าที่โดดเด่น ที่เกษตรกรทั่วประเทศต่างรู้จักและยอมรับคุณภาพมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี
ผลไม้และกิ่งพันธุ์ของสวนลุงสอน ผ่านการตรวจสอบรับรองคุณภาพจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ว่า มีคุณภาพ มาตรฐาน สมราคา จึงได้รับการคัดเลือกให้กับสินค้าเด่นในโครงการโอท็อปของจังหวัดนครสวรรค์มานานกว่า 5 ปีแล้ว นอกจากนี้ สวนลุงสอน ยังฉีกรูปแบบการทำตลาดในแบบเดิมๆ ที่เน้นการขายหน้าร้าน โดยหันมาใช้ช่องทางการทำตลาดผ่านการออกบู๊ธ และงานแสดงสินค้า โดยเฉพาะงานโอท็อป เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น งานสืบสานปณิธานพ่อ วิทยาเขตเกษตรบางพระ จังหวัดชลบุรี งานเกษตรย่าโม จังหวัดนครราชสีมา งานเกษตรรุ่งเรืองเมืองสี่แคว จังหวัดนครสวรรค์ งานย่าโมและกาชาด จังหวัดนครราชสีมา งานเกษตรมหัศจรรย์ ห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว ฯลฯ ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทุกวันนี้ สวนลุงสอน ผลิตผลไม้และกิ่งพันธุ์ไม้คุณภาพดีมากมายหลายชนิด สินค้าเด่นที่เป็นพระเอกของสวนแห่งนี้ ซึ่งได้รับความนิยมติดตลาดคือ กิ่งพันธุ์มะม่วง ได้แก่ มะม่วงสามฤดู มะม่วงเขียวสามรส ลูกโต น้ำหนัก 2 กิโลกว่า ขายดีสุดๆ เพราะผลดิบมันอร่อย ผลสุกหอมหวาน ติดผลตลอดปี “มะม่วงจี๋ซือ” ผลโต รสหวานจัด จากประเทศไต้หวัน “สะเดาสามฤดู…รวยดอก และ ทับทิมเมล็ดนิ่ม… แดงเจ้าพระยา เป็นต้น
“มะม่วงเขียวสามรส” พันธุ์ดกทะวาย ปลูกกิน ปลูกขาย คุ้มสุดๆ
คุณเจษฎา บอกว่า “เขียวสามรส” มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์เพื่อเก็บผลขายในประเทศไทยมานานแล้ว ตอนแรกที่นำเข้าจะมีปลูกเฉพาะในย่านแขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม.เท่านั้น ต่อมาได้กระจายพันธุ์ปลูกไปทั่ว จนหลายคนคิดว่าเป็นมะม่วงสายพันธุ์พื้นบ้านของไทย
มะม่วงพันธุ์นี้ เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร ใบออกสลับถี่ที่ปลายยอด ใบคล้ายกับใบของมะม่วงเขียวเสวย ติดช่อดอกที่ปลายยอด ดอกเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม ติดดอกออกผลได้ง่าย ผลดกเต็มต้น จัดอยู่ในกลุ่มมะม่วงดกทะวาย ให้ผลผลิตปีละ 2 ครั้ง ขั้วเหนียว มะม่วงผลเล็กเจอฝนก็ไม่หลุดร่วงง่าย ติดผลเป็นพวง 3-5 ผล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง
จุดเด่นของมะม่วงเขียวสามรส คือ มีครบ 3 รสชาติ ในผลเดียวกัน จึงถูกเรียกว่า “มะม่วงเขียวสามรส” ผลมีขนาดใหญ่มาก ผลโตเต็มที่น้ำหนักอยู่ระหว่าง 1-2 กิโลกรัม ต่อผล โดยทั่วไป มะม่วงเขียวสามรส สามารถกินได้ทั้งดิบและผลสุก มะม่วงเขียวสามรสผลสุกจะมีรสชาติหวานมันปนเปรี้ยวเล็กน้อย ให้ผลดก ผลผลิตขายได้ราคาดี
มะม่วงขาวนิยม กินอร่อยทั้งผลดิบผลสุก
มะม่วงน้ำดอกไม้มัน หรือ มะม่วงขาวนิยม ถูกพบในสวนมะม่วงของ “นายขาว น้อยรักษา” เกษตรกรชาวสวนผลไม้ในพื้นที่บางบอน กรุงเทพมหานคร เมื่อ 50 กว่าปีก่อน สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากการที่ปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ทะวาย เบอร์ 4 ใกล้กับมะม่วงเขียวเสวย จนเกิดการผสมพันธุ์กันขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่อมาเมื่อนำเมล็ดมาปลูกจึงกลายเป็นพันธุ์ใหม่ขึ้น “นายขาว” ตั้งชื่อมะม่วงพันธุ์นี้ว่า “น้ำดอกไม้มัน” แต่กรมวิชาการเกษตร รับรองพันธุ์พืชโดยเรียกชื่อใหม่ว่า “ขาวนิยม” เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ “นายขาว น้อยรักษา” ผู้ให้กำเนิดมะม่วงสายพันธุ์นี้
มะม่วงขาวนิยม มีรูปทรงผลส่วนหัวคล้ายเขียวเสวย แต่ส่วนปลายจะแหลมคล้ายน้ำดอกไม้ ความหนาของเปลือกมีความหนามากกว่ามะม่วงเขียวเสวยและน้ำดอกไม้ เหมาะสำหรับขนส่งทางไกล ผลมีขนาดใหญ่กว่ามะม่วงทั้งสองพันธุ์ที่เป็นพ่อแม่ คือมีน้ำหนักผลเฉลี่ยอยู่ที่ 0.6-1.5 กิโลกรัม มะม่วงพันธุ์ขาวนิยมกินทั้งผลดิบและผลสุก ผลดิบมีรสมัน คล้ายมะม่วงเขียวเสวย ผลสุกมีรสหวาน คล้ายมะม่วงเขียวเสวย-เมล็ดลีบ
“จี๋ซือ” พันธุ์มะม่วงไต้หวัน ผลสุกสีแดงเข้ม ลูกโต รสหวานจัด
หากใครสนใจอยากปลูกมะม่วงสายพันธุ์ต่างประเทศ คุณแดง แนะนำให้ลองปลูกมะม่วงจี๋ซือ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกขยายพันธุ์ในไทยนานหลายปีแล้ว เกษตรกรและผู้สนใจนิยมปลูกมะม่วงพันธุ์นี้อย่างแพร่หลาย เพราะผลโต รูปทรงสวย ผลสุกมีสีแดงเข้ม
มะม่วงจี๋ซือ ต้นสูงประมาณ 5-8 เมตร ปลูกได้ในดินทั่วไป ให้ผลผลิตปีละครั้ง ใบสีเขียวสด ใบดก หนา ออกดอกสีเหลืองนวลเป็นช่อ ผลอ่อนสีเขียว รสชาติเปรี้ยวจัด ผลสุกเปลือกมีสีแดงเข้ม ดูสวยงาม เมื่อผลโตเต็มที่ น้ำหนักต่อผล ประมาณ 8 ขีด ถึง 1 กิโลกรัม เมล็ดลีบบาง เนื้อสุกมีสีเหลืองเข้มหรืออมส้มเล็กน้อย เนื้อเหนียวไม่มีเสี้ยน รสชาติหวานจัด ถูกใจคนชอบกินผลไม้รสหวาน
“มะขามป้อมยักษ์ทะวาย” ให้ลูกโต ผลดกทั้งปี ขายได้ราคาดี
สำหรับคนที่รักสุขภาพ ขอแนะนำให้ปลูกมะขามป้อมยักษ์ทะวาย เป็นไม้ผลประจำบ้าน เพราะมะขามป้อมชนิดนี้ ให้ลูกโต ผลดกทั้งปี คุณแดง บอกว่า มะขามป้อมยักษ์ทะวายพันธุ์นี้ มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย ถูกนำเข้ามาปลูกขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว กลายเป็นไม้ผลยอดฮิตที่ได้รับความนิยมจากท้องตลาดอย่างกว้างขวาง เพราะมะขามป้อมยักษ์ทะวาย มีขนาดผลใหญ่มาก เทียบไซซ์แล้ว ผลมีขนาดใหญ่กว่าเหรียญสิบบาทเสียอีก
มะขามป้อมพื้นเมืองของไทยมักจะให้ผลผลิตเพียงปีละครั้งในช่วงฤดูร้อน แต่ “มะขามป้อมยักษ์ทะวาย” พันธุ์นี้ คุณแดง บอกว่า จัดอยู่ในกลุ่มพันธุ์ทะวายหรือพันธุ์เบา ปลูกดูแลง่าย เริ่มให้ผลดกเต็มต้น หลังจากปลูกไปได้ 1 ปี และติดดอกออกผลตลอดทั้งปี ผลมีรูปทรงผลกลมแป้น ผลอ่อนมีสีเขียวสดใส ผลแก่จัดสีเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มปนเหลืองเล็กน้อย เนื้อฉ่ำน้ำ รสชาติเปรี้ยวปนฝาดเหมือนมะขามป้อมทั่วไป ปลูกกินเป็นยา ก็ดีต่อสุขภาพ ปลูกขายก็ทำกำไรได้ดี
สะเดาสามฤดู …รวยดอก ปลูกดูแลง่าย แตกยอดทั้งปี
สะเดาทั่วไปจะมีดอกและยอดอ่อนเฉพาะช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ของทุกปี คุณแดง ภาคภูมิใจนำเสนอ “สะเดาสามฤดู…รวยดอก” เป็นพืชทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ชื่นชอบการบริโภคสะเดา เพราะสะเดาสามฤดู ปลูกดูแลง่าย เจริญเติบโตได้ทุกสภาพดินทั่วประเทศไทย หากใครมีพื้นที่จำกัด สามารถปลูกใส่กระถางได้ ต้นสะเดาสามฤดูจะผลิดอกแตกยอดอ่อนให้เด็ดกินได้ตลอดทั้งปี
ยอดอ่อนของสะเดาสามฤดู มีรสขมเหมือนกับสะเดาทั่วไป แต่นำไปลวกน้ำร้อนแล้ว รสขมจะหายไปอย่างน่าประหลาดใจ เหลือแต่รสมันอร่อย จนแทบหยุดกินไม่ได้ จึงถูกตั้งชื่อว่า “สะเดารวยดอก” ผ่านการขึ้นทะเบียนรับรองพันธุ์จากกองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การันตีคุณภาพว่า สะเดาสามฤดู…รวยดอก ว่าเป็นพืชปลอดสารพิษอย่างแท้จริง แค่ปลูกสะเดาสามฤดูไว้หลังบ้านเพียงไม่กี่ต้น คุณๆ ก็จะมียอดอ่อนสะเดาไว้กินกับน้ำพริกอย่างเอร็ดอร่อยได้ตลอดปี ทำให้สะเดาสามฤดู…รวยดอก ได้รับความนิยมจากคนไทยทั่วประเทศ
ข้อแนะนำ กับมือใหม่ที่หัดปลูกต้นไม้
ก่อนจบการสนทนา คุณแดง ฝากคำแนะนำกับมือใหม่ที่หัดปลูกต้นไม้ว่า เวลาซื้อกิ่งพันธุ์ไม้ไปปลูกที่บ้าน ควรเตรียมดินปลูกโดยใช้ดินธรรมดาหรือดินกระสอบ ใช้ยากันปลวกโรยแล้วรดน้ำตาม ป้องกันปลวกและแมลงในดิน รองก้นหลุมปลูกโดยใช้สารอุ้มน้ำ เช่น แพมเพิร์ท ก้อนโอเอซิส จะช่วยประหยัดเวลาในการรดน้ำ
วิธีการปลูก ควรขุดหลุมให้พอดีกับถุงหรือกระถางที่ซื้อต้นไม้มา ถ้าเป็นถุงให้เอามีดกรีดถุง ค่อยๆ ถอดออกจากถุงหรือกระถาง อย่าให้ดินแตก เพราะจะทำให้ต้นไม้ชะงักการเจริญเติบโต หรืออาจทำให้ต้นไม้เหี่ยวเฉาตายไปเลย ใช้หลักค้ำกันลมโยก ถ้าเป็นกิ่งทาบ ให้กรีดผ้าพันแผลที่โคนต้นออก
หลังปลูกใหม่ ไม่ควรใส่ปุ๋ย เพราะจะทำให้ต้นไม้ตายได้ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก จะช่วยปรับโครงสร้างดิน ปุ๋ยเคมีให้ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อต้นไม้ (ให้ใส่ห่างโคนต้น ประมาณ 1 ศอก หรือตามรัศมีทรงพุ่ม) สำหรับปุ๋ยบำรุงต้นทุกส่วนแนะนำให้ใช้ปุ๋ย สูตร 15-15-15 หรือ สูตร 16-16-16 หรือ สูตร 21-21-21 หากต้องการเร่งดอกเพิ่มรสชาติ ให้ใช้ปุ๋ยสูตร 8-24-24 โดยให้ปุ๋ยทุกๆ 2-3 เดือน ต่อครั้ง ควรใส่ปุ๋ยน้อย แต่ใส่บ่อยครั้งจะดีกว่าใส่ครั้งละมากๆ เพราะต้นไม้กินไม่หมด ปุ๋ยจะละลายไปกับน้ำ เสียงบประมาณไปเปล่าๆ
ส่วนน้ำ คุณแดง ให้คำแนะนำว่า ไม้ทุกชนิดไม่ต้องการน้ำมาก อย่าให้น้ำขัง จะทำให้รากเน่าได้ สัปดาห์แรก หลังปลูก ควรให้น้ำ วันละ 1 ครั้ง สัปดาห์ที่ 2-3 ควรให้น้ำวันเว้นวัน สัปดาห์ที่ 4 ขึ้นไป ควรให้น้ำ 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ก็พอแล้ว