ปลูกผักสวนครัวไว้กิน ฉบับโตเร็ว ได้กินใน 40 วัน

ช่วงนี้หลายๆ บ้าน นิยมปลูกผักสวนครัวไว้ทำอาหารเอง การปลูกผักสวนครัว นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย มีผักสะอาด ปลอดสารเคมีไว้กินเองแล้ว หากปลูกเป็นจำนวนมากและมีเหลือก็สามารถขายได้ด้วย ผักสวนครัวมีหลากหลายชนิด แต่วันนี้เทคโนโลยีชาวบ้านจะมาแนะนำผักสวนครัว อายุสั้น ที่ใช้เวลาปลูกไม่นาน ที่สามารถกินได้ภายใน 40 วัน สามารถนำเคล็ดลับไปปลูกตามกันได้เลย ง่ายนิดเดียว

☘️สะระแหน่

สะระแหน่เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีกับสภาพดินที่มีความร่วนซุยระบายน้ำได้ดี ต้องการแสงสว่าง และชอบอากาศที่เย็น ดังนั้น แสงแดดที่ร้อนเกินไปจึงไม่เป็นผลดีต่อการปลูกมากนัก การปลูกในที่ร้อนจัดจึงโตไม่ดี การปลูกจะต้องอาศัยที่รำไร หรือกลางซาแรนช่วยพรางแสงและฝนให้ด้วย เพราะหากโดนฝนมากไปก็จะทำให้เกิดโรคเชื้อราและใบเน่าได้ สะระแหน่ไม่ชอบปุ๋ยเคมีเลย เจอเป็นยุบ โดยเฉพาะปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยสูตรต่างๆ

การขยายพันธุ์ : ใช้วิธีแยกไหล ชำก้าน ที่ยังไม่แก่จัด หรือยอดที่ไม่อ่อนมากนัก บางส่วนถ้าหาก้านที่เริ่มออกรากบ้างแล้ว ก็จะปลูกติดได้เร็วขึ้น หรือถ้าซื้อสะระแหน่มาจากตลาด สามารถชำกิ่งก้านเพื่อให้ออกรากเล็กน้อยได้ โดยเมื่อเด็ดยอดไปกินแล้ว ก้านที่เหลือนำมาทำเป็นแพ หุ้มโคนก้านด้วยกาบกล้วย ไว้ในที่เย็น มีความชื้น 3-5 วัน จะได้ก้านสะระแหน่ที่มีรากงอกออกมา นำไปปลูกใหม่ได้

เคล็ดลับ : ถ้าต้องการจะบำรุงให้ได้ต้นที่อวบอ้วน ปุ๋ยที่ดีที่สุดคือ น้ำล้างปลา ที่มีทั้งเมือกคาว เลือด หรือน้ำล้างเนื้อ ล้างไก่ ก็ได้ คือสุดยอดปุ๋ยสำหรับสะระแหน่ ดินปลูกสะระแหน่ต้องมีสัดส่วนของอินทรียวัตถุมากๆ เช่น มูลสัตว์ ใบไม้ ขุยกาบมะพร้าว

วิธีการปลูก : ปลูกโดยใช้เมล็ดพันธุ์ คัดเลือกเมล็ดสะระแหน่ที่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากร้านขายเมล็ดพันธุ์ทั่วไป นำมาปลูกในกระถาง หรือแปลงปลูก โดยการพรวนดินกลบเบาๆ จากนั้นรดน้ำทุกวันประมาณ 10-15 วัน เมล็ดสะระแหน่จะแตกต้นอ่อนออกมา

ปลูกโดยการชำก้านหรือชำยอดอ่อน ควรใช้วิธีชำแบบ “ควบแน่น” คือชำในกระถางขนาดกลาง ใส่ลงในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ชำแล้วปิดปากถุงให้แน่น วางไว้ที่แสงรำไร 3 วัน 5 วัน ได้ต้นสะระแหน่ใหม่ เปิดถุง เอากระถางออกมา แยกต้นปลูกลงกระถางใหม่ หรือแปลงดินที่เตรียมไว้ได้ แต่ต้องการแสงสว่าง แต่ไม่ต้องการแดดที่ร้อนจัดเกินไป ควรปลูกในที่ร่มแดดรำไรจะงอกงามดี

ระยะเวลาเก็บเกี่ยว : ประมาณ 40 วัน โดยสะระแหน่ 1 รุ่น จะให้ผลผลิตได้นานถึง 1 ปี

☘️กะเพรา

กะเพราที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่ กะเพราขาว และกะเพราแดง โดยเรียกชื่อตามสีของก้านใบและก้านดอก “กะเพราขาว” มีลักษณะกิ่ง ก้าน ใบ และช่อดอกสีเขียว นิยมใช้ประกอบอาหาร “กะเพราแดง” มีลักษณะกิ่ง ก้าน ใบ และช่อดอกสีม่วงแดง กะเพราแดงมีสรรพคุณทางยาออกฤทธิ์แรง กลิ่นหอม และเผ็ดร้อนกว่ากะเพราขาว นิยมนำมาใช้ทำยาสมุนไพร

กะเพราสามารถตัดแต่งได้เมื่อสูงถึง 8 นิ้ว เมื่อพบใบเหลืองควรตัดทิ้งทันที หากพืชเจริญเติบโตมากเกินไป สามารถตัดกิ่งที่ซ้ำซ้อนออกได้ หลังจากการตัดแต่งกิ่งแล้ว ให้ใส่ปุ๋ยที่ปล่อยช้าจำนวนเล็กน้อย สามารถปลูกได้ทั้งในดินที่เป็นกรดและด่าง

วิธีการปลูก : วิธีปักชำทำได้โดยเอากิ่งแก่กลางอ่อน ตัดส่วนยอดดอก นำไปปักชำในกระถาง หรือแปลงที่เตรียมไว้ เทคนิคการปักคือ ปักเฉียง 45 องศา เอาดินกลบส่วนที่ปักชำบางๆ จากนั้นเอาฟางคลุมและรดน้ำให้ชุ่ม

ปลูกโดยหว่านเมล็ด ลงในแปลงที่เตรียมไว้ ใช้ฟางกลบ โรยปุ๋ยคอกและรดน้ำตาม รอแค่ 7 วัน เมล็ดกะเพราจะงอกเป็นต้นกล้า เมื่อต้นกล้าอายุครบ 1 เดือน ถอนแยกให้ได้ระยะระหว่าง 20×20 เซนติเมตร เมื่อต้นกะเพราโตเต็มที่ก็เด็ดใบมากินได้

เคล็ดลับ : วิธีปลูกกะเพราให้ต้นสูงใหญ่และอายุยืนข้ามปี โดยใช้วิธีเด็ดยอดใบทุกวัน ไม่ให้ต้นกะเพราออกดอก วิธีนี้จะช่วยให้ต้นกะเพราที่ปลูกในบ้านมีอายุการเก็บเกี่ยวยาวนานข้ามปี

ระยะเวลาเก็บเกี่ยว : หลังปลูก 30-35 วัน ก็สามารถตัดลำต้นออกขายได้ เมื่อต้นกะเพราแตกยอดและกิ่งก้านใหม่ออกมา จะเก็บผลผลิตออกขายได้ทุกๆ 15 วัน ตลอดระยะเวลา 7-8 เดือน หลังจากนั้น ผลผลิตจะลดลงเรื่อยๆ ควรรื้อแปลงปลูกทิ้ง ก่อนปลูกกะเพรารอบใหม่

☘️คะน้า

คะน้าปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาที่ปลูกได้ผลดีที่สุดอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเมษายน ช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนสามารถปลูกได้เช่นกัน คะน้าเป็นพืชที่เติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนปนทราย ดินเหนียวปนดินร่วน ชอบดินที่ระบายน้ำได้ดี น้ำไม่ขัง ควรรดน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอทุกเช้า-เย็น หมั่นกำจัดวัชพืชและพรวนดินบ่อยๆ วางในบริเวณที่มีแสงเพียงพอ ส่วนปุ๋ยที่นำมาบำรุงต้นควรเป็นปุ๋ยที่ธาตุไนโตรเจนสูง

วิธีการปลูก : ผสมดินร่วม 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน หว่านเมล็ดให้กระจายทั่วผิวแปลงโดยให้เมล็ดห่างกันประมาณ 2-3 เซนติเมตร ใช้ดินผสมหรือปุ๋ยคอกหว่านกลบเมล็ดให้หนาประมาณ 0.6-1 เซนติเมตร กลบดินผิวหน้าเมล็ดผักคะน้า

คะน้าต้องการน้ำอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ เนื่องจากมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ควรปลูกในแหล่งที่มีน้ำอย่างเพียงพอ การให้น้ำให้ใช้ฝักบัวฝอยรดให้ทั่วและให้ชุ่ม ในเวลาเช้าและเย็น หรือเป็นการให้น้ำด้วยระบบสปริงเกลอร์ คะน้าต้องการปุ๋ย ที่มีธาตุไนโตรเจนสูง อาจใส่ปุ๋ยสูตร 12-8-8 หรือ 20-11-11

เคล็ดลับ : การรดน้ำควรเป็นช่วงเวลาตอนเย็น รดน้ำในแปลงให้ชุ่ม ส่วนตอนเช้ารดเพียงเล็กน้อย เพื่อล้างน้ำค้าง ส่วนในช่วง 10 โมงเช้า ให้รดแบบโฉบไปมา และอีกครั้งในช่วงเวลาบ่ายสอง เพื่อลดอุณหภูมิ หรือควรรดน้ำวันละ 4-5 ครั้ง แต่ไม่แฉะจนทำให้เกิดรากเน่าโคนเน่า

ระยะเวลาเก็บเกี่ยว : ประมาณ 35-40 วัน คะน้าที่ตลาดต้องการมากที่สุดคือ คะน้าที่มีอายุ 45 วัน แต่คะน้าที่มีอายุ 50-55 วัน เป็นระยะที่เก็บเกี่ยวได้น้ำหนักมากกว่า

☘️ผักบุ้ง

ผักบุ้งจีน เป็นผักบุ้งที่ถูกนำเข้าจากต่างประเทศ แต่เมืองไทยสามารถปลูกผักบุ้งชนิดนี้เองได้ โดยที่ไม่ต้องนำเข้ามาอีกต่อไป ซึ่งส่วนมากนั้น ผักบุ้งจีนนิยมปลูกขายตามท้องตลาด เพราะว่าลำต้นของผักบุ้งจีนนั้น ค่อนข้างยาว และขาวกว่าผักบุ้งไทย มีใบอ่อนที่เขียวขจี มีดอกของผักบุ้งเป็นสีขาว

วิธีการปลูก : แช่เมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนในน้ำ 6 ชั่วโมง จากนั้นนำขึ้นมาผึ่งทิ้งไว้ 10 นาที หลังจากนั้นโรยเมล็ดลงบนดิน ผสมไม่หนาแน่นจนเกินไป และโรยดินกลบ ความหนาเท่ากับเมล็ด หรือโรยเมล็ดหนา 1 ชั้นลงบนผ้าขนหนูที่วางบนตะกร้า แล้วนำผ้าปิดด้านบนเมล็ด ปิดคลุมเมล็ดที่เพาะให้มิด รดน้ำเป็นละอองฝอยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เป็นเวลา 8-9 วัน โดยระวังไม่ให้ดินแฉะ หรือแห้งจนเกินไป เมื่ออายุครบ 5 วัน ให้เปิดวัสดุที่ปิดคลุมออก จะเห็นต้นอ่อนมีสีเหลือง เมื่ออายุครบ 6 วัน ให้นำออกมารับแสง เพื่อสร้างคลอโรฟิลล์ สร้างใบ และยอดอ่อนสีเขียว อายุ 9-10 วัน สามารถเก็บต้นอ่อนผักบุ้งไปบริโภค หรือจำหน่ายได้

การรดน้ำ : ไม่ควรมากเกินไปจนน้ำขัง เพราะจะทำให้รากผักบุ้งจีนเน่า และไม่เจริญเติบโต ควรรดน้ำทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าวันไหนฝนตก ก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำ ที่สำคัญอย่าให้ผักบุ้งจีนขาดน้ำ เพราะจะทำให้ผักบุ้งจีนขาดการเจริญเติบโต ไม่มีคุณภาพ ไม่น่ากิน

ระยะเวลาเก็บเกี่ยว : ปลูกเพียง 25-30 วัน หรือต้นสูงประมาณ 30-35 เซนติเมตร ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว ก่อนเก็บเกี่ยว ควรรดน้ำแปลงดินให้ซุ่ม เพื่อการเก็บเกี่ยวผักบุ้งจะง่ายขึ้น ทำให้รากผักบุ้งจีนไม่ขาดมาก สะบัดดินออก และนำไปล้างน้ำอีกรอบ และเป็นผักสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี

☘️เห็ดนางฟ้า

เห็ดนางฟ้า เป็นเห็ดชนิดหนึ่ง ออกดอกเป็นดอกเดี่ยว หรือเป็นช่อกระจุกแน่น ก้านดอกสั้น มีสีขาว ไม่มีวงแหวน เมื่อดอกเห็ดยังอ่อนอยู่ จะมีสีขาว เมื่อแก่มาก จะมีสีขาวอมสีน้ำตาลอ่อน มีเส้นใยค่อนข้างละเอียด สามารถนำมากิน และทำเป็นเมนูต่างๆ เช่น เห็ดนางฟ้าชุบแป้งทอด ต้มยำเห็ดนางฟ้า หรือเป็นส่วนผสมในยำ หรือต้มแซ่บอื่นๆ อีกด้วย

วิธีการทำก้อนเห็ดนางฟ้า : เทขี้เลื่อยไม้ยางพาราลงบนพื้น จากนั้น ใส่รำ ปูนขาว คลุกเคล้าให้เข้ากัน นำดีเกลือมาละลายกับน้ำเปล่า 5 ลิตร จากนั้น ใช้บัวรดน้ำราดรดลงไปให้ทั่ว แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน ให้ขี้เลื่อยมีความชื้นที่ 60% (ตรวจสอบโดยการกำขึ้นมา ถ้ากำแล้วจับตัวเป็นก้อน แสดงว่า ความชื้นได้ที่แล้ว แต่ถ้ากำแล้วแห้ง ไม่จับตัวเป็นก้อน ให้ใส่น้ำเพิ่ม หรือถ้ากำแล้วมีน้ำไหลออกมา แสดงว่าใส่น้ำเยอะเกินไป ก็ให้ใส่ขี้เลื่อยเพิ่ม) ตักขี้เลื่อยใส่ถุงพลาสติก ให้เต็มปากถุง จากนั้น กระทุ้งให้อัดกันแน่นเป็นก้อน นำคอขวดพลาสติกใส่ไว้ด้านบน แล้วดึงพับปากถุงลงมาให้แน่น ให้ไม่มีอากาศ หรือช่องว่างตรงคอขวด ใช้หนังยางรัดให้แน่น อุดปากถุงด้วยสำลี แล้วปิดด้วยฝาขวดพลาสติกให้แน่นอีกชั้นหนึ่ง ตั้งเตานึ่ง ต้มน้ำให้เดือด ใส่ก้อนเชื้อเห็ดลงไป แล้วนึ่งที่อุณหภูมิ 95-100 องศาเซลเซียส เพื่อฆ่าเชื้อเป็นเวลา 3 ชั่วโมง พอครบเวลา ให้นำออกมา พักทิ้งไว้ให้เย็นตัวลง

วิธีหยอดเชื้อและบ่มเส้นใย : หลังจากเตรียมก้อนเห็ดนางฟ้าเสร็จแล้ว ก็มาถึงขั้นตอน หยอดเชื้อเห็ดนางฟ้า เพื่อบ่มเชื้อเห็ดให้เดินเต็มถุง โดยคุณสามารถหาซื้อหัวเชื้อเห็ดนางฟ้าจากเมล็ดข้าวฟ่าง แบบสำเร็จรูปมาใช้ได้เลย ไม่ต้องทำเอง กระปุกหนึ่งตกขวดละ 12-14 บาท เท่านั้น สะดวกสบาย ไม่ต้องผลิตเชื้อวุ้น หรือขยายหัวเชื้อเห็ดบนเมล็ดข้าวฟ่างให้เสียเวลา เมื่อหยอดเชื้อและบ่มเห็ดนางฟ้า จนเชื้อเห็ดเดินเต็มถุงแล้ว ให้ย้ายก้อนเห็ดนางฟ้าเข้าโรงเรือน โดยโรงเรือนควรมีแสงลอดผ่านน้อย อากาศถ่ายเทค่อนข้างดี มีความชื้นที่เหมาะสม ทำได้โดยการยกหลังคาสูง แล้วคลุมด้วยซาแรนกันแดดทั่วทุกด้าน พร้อมกับติดตั้งระบบสปริงเกลอร์ ฉีดพ่นละอองน้ำไว้ด้านบน

เคล็ดลับ : เนื่องจากอาจมีแมลงหวี่เข้ามาวางไข่ตามดอกเห็ดหรือก้อนเชื้อเห็ด จึงควรใช้น้ำหมักสมุนไพรฉีดพ่นรอบๆ โรงเรือน หรือหากพบว่ามีก้อนเชื้อเห็ดก้อนใดถูกวางไข่ หรือทำให้เสียหาย ก็ให้รีบกำจัดทิ้งทันที

ระยะเวลาเก็บเกี่ยว : ประมาณ 25-30 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้แล้ว โดยก้อนเห็ดนางฟ้า 1 ก้อน จะให้ผลผลิต 12-15 รุ่น และจะหมดอายุ เมื่อมีอายุ 3-4 เดือน ให้ผลผลิตครั้งละ 3-3.5 ขีด

☘️ผักชี

ผักชีเป็นผักที่มีกลิ่นแรงอ่อนๆ นิยมใช้ในการตกแต่งบนจานอาหาร เป็นผักที่ต้องการน้ำมาก ฉะนั้นควรจะรดน้ำให้สม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง แต่อย่ารดมากจนเกินไปจะทำให้ผักชีเน่าได้ง่าย เพราะผักชีไม่ชอบน้ำขัง และควรใช้เป็นปุ๋ยหมักจะดีที่สุด ผักชีเป็นพืชที่ปลูกง่าย และเติบโตทั่วไปในแต่ละพื้นที่ ทุกส่วนของผักชี สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ตั้งแต่ส่วนของ ใบ ก้าน ราก เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุสั้น

วิธีการปลูก : เตรียมดินสำหรับปลูก ด้วยการตากดินสัก 1 สัปดาห์ แล้วพรวนดินให้แตกเป็นก้อนเล็ก ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสดคลุกเคล้าเข้าไป บดเมล็ดพันธุ์ผักชีที่ซื้อมาให้แตกออกเป็น 2 ซีก แล้วนำเมล็ดไปแช่น้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง นำเมล็ดพันธุ์ผักชีที่แช่น้ำแล้วไปผึ่งลม ผสมกับทรายหรือขี้เถ้าเล็กน้อย เมื่อเห็นเมล็ดเริ่มงอก ให้นำไปใส่กระถางปลูกที่เตรียมดินเอาไว้แล้ว จากนั้นคลุมด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้ง แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ผักชีถึงแม้จะพืชที่ต้องการน้ำมาก แต่ผักชีไม่ชอบน้ำขัง ดังนั้น ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้าและเย็น

เคล็ดลับ : เมื่อผักชีแตกใบให้ใส่ปุ๋ยหมัก หรือถ้าจะเร่งให้งามเร็วๆ ให้ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต อัตราส่วน 3-4 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 ปี๊บ แล้วนำไปฉีดพ่นเบาๆ

ระยะเวลาเก็บเกี่ยว : เริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 40-45 วัน โดยเลือกต้นที่สมบูรณ์ที่มีความยาว 20-30 เซนติเมตร ก่อนการเก็บเกี่ยวควรรดน้ำให้ชุ่มแปลงดินเพื่อการถอนผักชีที่ง่ายขึ้นทำให้ต้นผักชีไม่ขาด การเก็บเกี่ยวผักชีทำได้โดยการใช้มือจับที่โคนรากแล้วถอนดึงขึ้นมา สะบัดดินออก แล้วนำไปล้างน้ำ คัดใบสีเหลืองหรือใบที่เน่าออก

ขั้นตอนง่ายนิดเดียว เริ่มวันนี้ก็ยังไม่สาย แถมยังมีผักปลอดสารไว้กินเองอีกด้วย ผักสวนครัวเหล่านี้ใช้เวลาไม่กี่วันก็ได้เก็บเกี่ยว แถมปลูกไม่ยาก ดูแลไม่มากด้วย สามารถเลือกวัสดุที่ปลูกตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ บางชนิดก็ปลูกในน้ำได้ ถือว่าเป็นการตกแต่งบ้านให้ดูน่าอยู่โดยมีธรรมชาติอยู่ในบ้าน อยู่แล้วสดชื่น สงบ ลองไปทำตามกันได้

#เทคโนโลยีชาวบ้าน #technologychaoban #ปลูกผักสวนครัว #howto #ปลูกผัก