ผู้เขียน | ทะนุพงศ์ กุสุมา ณ อยุธยา |
---|---|
เผยแพร่ |
การปรับเปลี่ยนจากเคมีมาเป็นอินทรีย์อาจดูเป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับเกษตรกรบางราย ความจริงแล้วเกษตรอินทรีย์ถือเป็นวิถีเกษตรกรรมพื้นบ้านดั้งเดิมที่บรรพบุรุษปฏิบัติกันมายาวนาน แต่การถูกปลุกเร้าจากยุคอุตสาหกรรมมีผลทำให้แนวทางการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านต้องเปลี่ยนไป
แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะครอบครัว “แจ่มไทย” ที่ตำบลเก้าเลี้ยว นครสวรรค์ ได้ยึดแนวทางการทำเกษตรอินทรีย์มานานหลายสิบปี แล้วนำมาใช้กับข้าวและพืชไม้ผลหลายชนิด โดยเฉพาะ ฝรั่ง ช่วยทำให้ได้ผลผลิตมีคุณภาพ ผลโตขนาดจัมโบ้ เนื้อฟู หวาน กรอบ เป็นฝรั่งอินทรีย์ที่มีความปลอดภัย เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะกลุ่มดูแลสุขภาพ จนปลูกขายไม่ทันถึงกับต้องสั่งจองล่วงหน้า
เริ่มทำนาข้าวอินทรีย์ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ แต่ราคาน้อย
หันมาปลูกฝรั่งเสริม
คุณพลอย-คุณสมบัติ แจ่มไทย และ น.ส. ปรียาณัชก์ แจ่มไทย หรือ คุณโน้ต ลูกสาว อยู่บ้านเลขที่ 4 หมู่ที่ 1 ตำบลเขาดิน อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ เป็นครอบครัวที่มีอาชีพปลูกข้าวเช่นเดียวกับชาวบ้านรายอื่น แต่ความไม่พร้อมทางรายได้เพื่อซื้อปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ทำให้ครอบครัวนี้จำต้องผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากปุ๋ยหมัก น้ำหมัก รวมถึงสารชีวภาพจากวัสดุทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืชสมุนไพรสำคัญ หรือผัก ผลไม้ ที่ไร้ประโยชน์ไว้ใส่นาข้าว ทำให้ข้าวที่ปลูกมีคุณภาพต้นเขียว กอใหญ่ รวงสมบูรณ์ ได้เมล็ดข้าวยาว เมล็ดเต็ม มีรสอร่อย
ช่วงเวลาหลายปีกับปัญหาราคาข้าว ทำให้ครอบครัวแจ่มไทยต้องหาพืชหลายชนิดมาปลูกเพื่อสร้างรายได้จุนเจือ แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล เมื่อต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกับราคาข้าว กระทั่งตัดสินใจซื้อต้นพันธุ์ฝรั่งมาปลูก พร้อมใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เหลือจากการใส่นาข้าวมาใส่ต้นฝรั่ง ทำให้มีรสชาติอร่อย เนื้อแน่น ฟู
ครอบครัวนี้ เริ่มปลูกฝรั่งในปี 2554 ฝรั่งที่ปลูกเป็นพันธุ์แป้น ในพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ เมื่อประสบผลสำเร็จเพราะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ จึงเพิ่มพันธุ์อื่นอีกภายหลัง อย่าง พันธุ์กิมจู สาลี่ ไส้แดง และหวานพิรุณ ปลูกบริเวณใกล้พื้นที่ทำนา โดยทดลองปลูกคละพันธุ์ร่วมในสวนเดียวกัน แล้วทดลองนำกิมจูกับแป้นมาผสมกัน จนได้ผลฝรั่งที่มีความต่างทั้งขนาด รสชาติ มีความโดดเด่น จนได้ฝรั่งในลักษณะที่แตกต่างจากพันธุ์เดิม ไม่เหมือนพันธุ์อื่นๆ จึงตั้งชื่อว่า พันธุ์ “แจ่มไทย” ตามนามสกุลของครอบครัว
สารอินทรีย์ที่ใช้ในนาข้าว แบ่งใส่ฝรั่ง
สร้างคุณภาพ ปลอดโรคและศัตรูร้าย
คุณสมบัติ บอกว่า ตลอดชีวิตการทำเกษตรกรรมไม่ได้ใช้สารเคมีเลย ตั้งใจใช้สารอินทรีย์ เนื่องจากต้องการลดต้นทุน ขณะเดียวกันสารชีวภาพที่ผลิตถูกนำมาใช้กับการปลูกข้าวและพืชผัก รวมถึงไม้ผล ซึ่งภายหลังที่ใช้แล้วพบว่าได้ผลดีมาก โดยผลิตน้ำหมักชีวภาพและสมุนไพรไล่แมลง รวมถึงฮอร์โมนจากหอยเชอรี่ ตลอดจนปุ๋ยคอก
การปลูกฝรั่งอินทรีย์ เริ่มจากเตรียมแปลงปลูกต้องขุดหลุมลึก ประมาณ 50 เซนติเมตร ใส่ขี้เป็ดหมักและแกลบ ใส่ลงในหลุมปลูก ประมาณ 2 กิโลกรัม ต่อหลุม ในอัตรา 2:1 ขณะเดียวกันปุ๋ยดังกล่าวใช้ใส่ในนาข้าวด้วย ช่วยให้ข้าวมีคุณภาพ ต้นข้าวเขียว เมล็ดสวย ซึ่งขี้เป็ดที่เหลือก็นำมาใส่ต้นฝรั่งและไม้ชนิดอื่นๆ ทำให้ได้คุณภาพเช่นเดียวกัน
หลังจากนำต้นฝรั่งลงปลูกแล้ว ยังไม่ต้องบำรุงอะไร ให้รดน้ำทุก 7-10 วัน รดให้ชุ่ม น้ำไม่ขัง เพราะเป็นดินทราย ในระหว่างที่ต้นฝรั่งเจริญเติบโตอาจจะพบแมลงศัตรูมารบกวน โดยเฉพาะเพลี้ยแป้ง จึงต้องฉีดพ่นด้วยสารชีวภาพในกลุ่มสมุนไพรผสมกับปุ๋ยน้ำเพื่อฉีดพ่นทรงพุ่มทุกสัปดาห์
ทั้งนี้หากพบว่า มีจำนวนมากเกรงจะรับมือไม่ไหว ก็จะต้องฉีดพ่นให้ถี่ขึ้น หรือถ้าหากยังดื้อยาอีก คงต้องปราบด้วยน้ำขี้เถ้าที่มีคุณสมบัติเป็นด่างมาใช้ฉีดควบคู่ไปด้วย ส่วนแมลงศัตรูที่เจอคือ แมลงวันทอง หาวิธีกำจัดด้วยการล่อให้มาลงในกระป๋อง แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปใช้วิธีนำยากำจัดมาวางไว้ที่พื้นเพื่อให้แมลงมากิน ซึ่งได้ผลดีมาก ช่วยทำให้แมลงลดลงจนแทบไม่เจอ
ห่อแล้วตัดแต่ง ยิ่งตัด ยิ่งดก
เมื่ออายุต้นประมาณ 7-8 เดือน เริ่มมีดอก จะตัดทิ้งก่อน เพราะหากปล่อยไว้เป็นผลอาจทำให้ต้นฝรั่งที่ยังมีขนาดเล็กอยู่ต้องแบกรับน้ำหนัก แล้วทำให้กิ่ง ก้าน ฉีกขาด อีกทั้งยังอาจทำให้ต้นโทรมเร็ว ควรรอให้ต้นมีอายุประมาณ 1 ปี จึงเริ่มเก็บดอก เพราะเป็นช่วงที่ต้นและกิ่ง ก้าน อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง ซึ่งจำนวนที่เหมาะคือ 3-7 ผล แต่หากเจอผลที่สวยสมบูรณ์มาก จะต้องรีบห่อแล้วนำไม้มาค้ำยันไว้
ฝรั่งเริ่มห่อผลเมื่อมีขนาดเท่ามะนาว ใช้กระดาษที่ห่อผลไม้โดยเฉพาะเท่านั้น เพื่อให้ผลมีความสวยและปลอดภัย หลังจากห่อผลแล้วต้องหมั่นรดน้ำทุกสัปดาห์ ไปพร้อมกับการฉีดพ่นยา ใส่สารชีวภาพ ปุ๋ยน้ำหมัก ไม่ควรปล่อยให้ขาดน้ำ ขณะเดียวกันทุกเดือนต้องใส่ปุ๋ยคอกที่หมักไว้ ต้นละ 20 ลิตร ควรใส่ระหว่างรดน้ำเพื่อคลุกเคล้าปุ๋ยคอกไปด้วยกัน อย่างไรก็ตาม การให้ปุ๋ยคอกหมักอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ต้นฝรั่งสะสมอาหาร ทำให้เพิ่มคุณภาพ มีความหวาน กรอบ
“ระหว่างห่อต้องตัดแต่งกิ่งใบไปพร้อมกัน แล้วควรทำไปตลอดจนเก็บผลผลิต ทั้งนี้ยิ่งตัดแต่งกิ่งบ่อยเท่าไร จะทำให้ได้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง คือห่อแล้วตัดแต่งหรือเก็บแล้วตัดแต่ง แต่การตัดแต่งต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์มาก มิใช่จะตัดตามใจ เพราะอาจเกิดผลเสียตามมา”
อีกทั้งต้องสังเกตดูความสมบูรณ์แต่ละผล หากพบผลใดไม่สมบูรณ์ เช่น ผิวไม่สวย เป็นสีแดงเพราะโดนแดดมากจะตัดออก แยกไว้นำไปแปรรูปเป็นน้ำฝรั่ง ส่วนเนื้อและเปลือกที่บีบน้ำออกแล้ว นำไปทำปุ๋ยหมักต่อไป ส่วนการเกิดจุดดำบนผิวเปลือก คุณสมบัติ บอกว่า ไม่ใช่เกิดจากปัญหาโรค แล้วไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค แต่เป็นไปตามธรรมชาติปกติของการปลูกผลไม้แบบอินทรีย์ แต่ถ้าผิวเกลี้ยงและขาวมากอาจน่ากลัวกว่า
หลังจากห่อแล้ว ประมาณ 60-70 วัน จึงเก็บผลผลิต ทั้งนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาด คุณสมบัติใช้วิธีจดวันที่ไว้ในถุงห่อ ทำให้มีความแม่นยำ ผลผลิตได้เวลาเก็บที่เหมาะสม มีมาตรฐานเดียวกันทุกผล
กิมจู + แป้น = แจ่มไทย
สวนฝรั่งของครอบครัวแจ่มไทยปลูกไว้ 2 แห่ง แปลงหนึ่งปลูกเฉพาะพันธุ์แป้นอย่างเดียว จำนวน 3 ไร่ ถือเป็นสวนแรกที่สร้างเม็ดเงิน ครั้นเมื่อเห็นว่ามาถูกทาง จึงเพิ่มพื้นที่ปลูกอีกแปลง แต่คราวนี้ต้องการสร้างมูลค่าฝรั่งด้วยการทดลองปลูกแบบพันธุ์ผสม ทั้งแป้น กิมจู และสาลี่ แบบแถวเว้นแถว แล้วผสมเกสรข้ามสายพันธุ์ระหว่างกิมจูกับแป้น จนทำให้ได้ผลฝรั่งลูกผสมที่ตั้งชื่อว่า แจ่มไทย ซึ่งมีผลขนาดใหญ่ มีน้ำหนักเฉลี่ย 1.8 กิโลกรัม ต่อผล แบบจัมโบ้ เนื้อฟูคล้ายแอปเปิ้ล รสหวาน กรอบ แล้วเคยเจอบางผลไม่มีเมล็ด ได้ผลผลิตมาเป็น รุ่นที่ 3 ยังไม่มั่นใจว่าจะได้มาตรฐานเช่นนี้ต่อไปอีกนานเท่าไร แต่พยายามดูแลเรื่องปุ๋ยอย่างเต็มที่ จึงตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะเกิดจากการปลูกด้วยปุ๋ยอินทรีย์
คุณโน้ต ลูกสาวเติบโตและคลุกคลีมากับการปลูกพืชแบบอินทรีย์ ถือเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว โดยมีหน้าที่ดูแลทางการตลาดเป็นหลัก ได้เผยถึงขั้นตอนการเก็บผลผลิตและจำหน่ายว่า ฝรั่ง เก็บทุกสัปดาห์ได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อครั้ง ประมาณ 800-1,000 กิโลกรัม ในจำนวนนี้มีผลผลิตที่ไม่สมบูรณ์ ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ แยกนำไปแปรรูปเป็นน้ำฝรั่งขายต่อไป
ฝรั่งสด ขายกิโลกรัมละ 30-50 บาท หากนำไปขายเอง กิโลกรัมละ 30-40 บาท แต่หากนำไปขายที่กรุงเทพฯกำหนดราคากิโลกรัม 40-50 บาท ตลาดในจังหวัดมีออเดอร์เฉลี่ย รายละ 5-10 กิโลกรัม ส่วนกรุงเทพฯ มียอดส่งขายเฉลี่ย 100 กิโลกรัม ต่อเดือน ทั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ดูแลสุขภาพ ส่วนน้ำฝรั่งบรรจุใส่ขวด ขนาด 250 ซีซี ใช้แบรนด์ว่า “แจ่มไทย” แล้วมีแผนเร็วๆ นี้ จะปลูกฝรั่งไส้แดงเพื่อเน้นแปรรูปเป็นน้ำบรรจุขวดขาย
พร้อมเผยตัวเลขรายได้จากการขายฝรั่งต่อเดือนแบบธรรมดา ประมาณ 30,000 บาท (สามหมื่น) ทั้งนี้เคยขายมีรายได้สูงถึงเดือนละเกือบ 60,000 บาท (หกหมื่น) ในช่วงที่ขายกิโลกรัมละ 20 บาท นานถึง 4 ปี ทำให้มีรายได้ถึงปีละ 600,000 บาท (หกแสน) ปัจจุบัน มีรายได้จากการขายสัปดาห์ละกว่า 10,000 บาท (หนึ่งหมื่น)
“การปลูกฝรั่งอินทรีย์เชิงพาณิชย์ จะต้องตั้งใจทำอย่างจริงจัง ดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตปุ๋ยหมัก น้ำหมัก ตลอดจนสารป้องกันแมลง เพราะต้องนำสิ่งเหล่านี้มาใส่ต้นฝรั่งตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม รวมถึงยังต้องหมั่นตัดแต่งกิ่ง ใบ และกำจัดวัชพืชต่างๆ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จึงจะช่วยทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และรวดเร็ว เป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงเป้าหมายการทำอินทรีย์จะช่วยทำให้มีความประหยัดได้มาก มีความปลอดภัยต่อสุขภาพคนปลูก สิ่งแวดล้อม และผู้บริโภค” คุณสมบัติ กล่าว
สอบถามรายละเอียดสั่งซื้อฝรั่งอินทรีย์คุณภาพที่รับรองความปลอดภัยจากในสวนได้ที่ โทรศัพท์ 081-280-1278 098-749-3058
ขอบคุณ : สำนักงานเกษตรจังหวัดนครสวรรค์ ที่อำนวยความสะดวกการทำรายงานครั้งนี้