เผยแพร่ |
---|
ชื่ออื่น : ดีปลี (ปัตตานี) ดีปลีขี้นก (ภาคใต้) พริกขี้นก (สุพรรณบุรี) ปะแก้ว (นครราชสีมา) พริก (ภาคกลาง, เหนือ) พริกแด้ พริกแต้ พริกนก (ภาคเหนือ) มะระตี้ (สุรินทร์) หมักเพ็ด (อีสาน) ลัวะเจีย (แต้จิ๋ว) ล่าเจียว (จีนกลาง) Bird Chilli
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Capsicum frutescens L. (C. minimum Roxb.)
วงศ์ : Solanaceae
ลักษณะต้น เป็นไม้พุ่มเล็ก สูง 45-75 เซนติเมตร ใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม ใบกลมรีปลายแหลม ดอกสีขาวขนาด 1 เซนติเมตร ออกเป็นกลุ่ม 1-3 ดอกตรงซอกใบ มีกลีบดอก 5 กลีบ เกสรตัวผู้ 5 อัน ขึ้นสลับกับกลีบดอก เกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่มี 2 หรือ 3 ห้อง ก้านผลอาจยาวถึง 3.5 เซนติเมตร ชูขึ้นหรือห้อยลง ผลสุกมีสีแดงหรือแดงปนน้ำตาล ผิวลื่นมัน ภายในกลวง มีแกนกลาง บนแกนมีเมล็ดสีเหลืองเกาะอยู่มากมาย แต่ละเมล็ดมีลักษณะแบนกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 มิลลิเมตร มีรสเผ็ดและกระตุ้นให้จามได้ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด ชอบดินร่วนซุย เป็นพืชเศรษฐกิจ ปลูกเอาผลขายได้
ส่วนที่ใช้ ผล (ทั่วๆ ไปเรียก เม็ด)
สรรพคุณ ผล ปรุงรสอาหาร ช่วยเจริญอาหาร แก้อาเจียน บิด หิด กลาก ปวดบวม (เนื่องจากความเย็นจัด)
ข้อห้ามใช้ ห้ามใช้ในคนที่มีอาการเจ็บคอ คอแห้ง ไอ ร้อนอุ้งมืออุ้งเท้า หรือคนที่เป็นโรคตา
ตำรับยาและวิธีใช้
- บิด ใช้พริกสด 1 เม็ด หรือกว่านั้นกิน
- ปวดบวม (เนื่องจากความเย็นจัด) ใช้ผงพริกแห้งทำเป็นขี้ผึ้ง หรือละลายแอลกอฮอล์ทา
รายงานทางคลินิก
- ปวดเอวและน่อง ใช้ผงพริกขี้หนูและวาสลีน (1 : 1) หรือผงพริก วาสลีน แป้งหมี่ (2 : 3 : 1) เติมเหล้าเหลืองจำนวนพอควร คนให้เป็นครีม เวลาใช้ให้ทาลงบนกระดาษแก้ว ปิดบริเวณที่ปวด ใช้ปลาสเตอร์ปิดโดยรอบ ผลจากการรักษาผู้ป่วย 65 ราย พบว่าได้ผลดี 25 ราย สังเกตเห็นผลดีขึ้น 23 ราย อาการแสดงภายนอกหายไป 1 ราย อีก 16 รายไม่ได้ผล หลังจากพอกยา 15-30 นาที ผู้ป่วยจะรู้สึกแสบร้อนบริเวณที่พอก หลังจากพอกยา 1 ชั่วโมง บางรายจะรู้สึกร้อนยิ่งขึ้นจนคล้ายไฟดูด (ความรู้สึกแสบร้อนดำรงอยู่นาน 2-24 ชั่วโมง หรืออาจนานถึง 48 ชั่วโมง) ทำให้เหงื่อออก การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น และรู้สึกหายปวด จากการตรวจสอบพบว่าบริเวณที่พอกยามีความรู้สึกร้อนและการไหลเวียนของโลหิตเพิ่มขึ้น มีผู้ป่วยจำนวนน้อยที่เป็นผดและตุ่มพอง
- บวมฟกช้ำ ใช้พริกขี้หนูแก่จัดสีแดงตากแห้ง บดเป็นผงแล้วเทลงไปในวาสลีนที่เคี่ยวจนเหลว ในอัตราส่วน 1 : 5 กวนให้เข้ากัน เคี่ยวจนกระทั่งได้กลิ่นพริก ใช้สำหรับทาถูแก้อาการเคล็ด ถูกชน ฟกช้ำดำเขียว และปวดข้อ โดยทาตรงบริเวณที่เป็นวันละครั้ง หรือ 2 วันต่อครั้ง ในการรักษาผู้ป่วย 12 ราย พบว่าหายขาด 7 ราย อาการลดน้อยลง 3 ราย ผลการรักษาไม่ชัดเจน 2 ราย สำหรับรายที่ได้ผลโดยทั่วไปทายา 4-9 ครั้ง
ผลทางเภสัชวิทยา
- ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร แคปไซซิน (capsaicin) ทำให้เจริญอาหาร กินอาหารได้มากขึ้น ในการทดลองกับสุนัข พริกสามารถกระตุ้นทำให้การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น ในการทดลองให้คนกินอาหารที่ปรุงแต่งด้วยพริก พบว่าการหลั่งน้ำลายและน้ำย่อยไดแอสเทส (diastase) เพิ่มมากขึ้น แต่ถ้ากินมากจะทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ท้องร่วงและอาเจียน ถ้ากรอกเข้ากระเพาะอาหารโดยตรงจะทำให้เกิดอาการบวมและเลือดไหลไม่หยุด น้ำสกัดจากพริกจะลดการบีบตัวของลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ของหนูตะเภาที่เกิดจากอะเซทิลโคลีน และฮีสตามีนได้ ส่วนแคปไซซินจะเพิ่มการบีบตัวของลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum) ของหนูตะเภาที่ทดลองนอกร่างกาย แต่เมื่อให้แคปไซซินซ้ำอีกครั้งในขนาดเท่ากัน จะมีผลน้อยมากหรือไม่มีผลเลย
- ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและฆ่าแมลง แคปไซซินมีผลยับยั้งเชื้อ Bacillus cereus และเชื้อ Bacillus subtilis แต่ไม่มีผลต่อเชื้อ Bacillus aureus และเชื้อ Bacillus coli กิ่งและใบไม่มีผลในการต่อต้านเชื้อโรคมากนัก เพียงแต่มีผลยับยั้งเชื้อ Bacillus tuberculosis ได้เล็กน้อย นอกจากนี้ สารสกัดจากพริกโดยการต้มด้วยน้ำ 10-20% มีฤทธิ์ในการฆ่าแมลง
- สารสกัดจากพริก เมื่อทาลงบนผิวหนังจะทำให้หลอดเลือดบริเวณนั้นขยายตัวและการไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้น เชื่อว่าสารนี้สามารถกระตุ้นปลายประสาททำให้รู้สึกอุ่น มักนิยมผสมในยาหม่องและน้ำมันมวย ถ้าใช้จำนวนมากเกินไปอาจระคายเคืองได้
- ผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต มีรายงานการทดลองจากนักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่ม ซึ่งเสนอผลการทดลองที่ขัดแย้งกัน คือ
น้ำสกัดจากพริกเมื่อฉีดเข้าหลอดเลือดดำของแมวที่วางยาสลบ จะลดความดันโลหิตได้ชั่วขณะ เมื่อทดลองกับหัวใจกระต่ายที่ตัดออกจากตัวจะลดความแรงในการบีบตัว ซึ่งต่อมาจะกลับสู่ภาวะปกติได้ และลดการไหลของเลือดที่บริเวณขาหลังของหนูขาว
แคปไซซิน (สารสกัดจากพริก) สามารถกระตุ้นหัวใจห้องบนของหนูตะเภาที่ทดลองนอกร่างกาย ทั้งอัตราความเร็วและความแรง คล้ายกับฤทธิ์ของอะดรีนาลีน (adrenaline) แต่เมื่อฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำของแมวและสุนัข ทำให้ความดันโลหิตลด หัวใจเต้นช้า และหายใจขัด อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อตัดเส้นประสาทเวกัสออก (vagotomy)
แคปไซซินจะเพิ่มความดันโลหิตในแมวที่ตัดหัวออก (decapi-tated cat) เมื่อฉีดเข้าหลอดเลือดดำของแมวที่วางยาสลบทำให้ความดันโลหิตในปอดสูงขึ้น ตลอดจนทำให้ความแรงในการบีบตัวของหัวใจลดลง แล้วกลับแรงขึ้น แต่เมื่อฉีดเข้าบริเวณหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจโดยตรง จะทำให้หลอดเลือดนั้นหดตัว ฤทธิ์ของแคปไซซินต่อหัวใจห้องบนของหนูตะเภานั้นจะเพิ่มทั้งความเร็วและความแรงในการเต้น
- ฤทธิ์อื่นๆ มีรายงานว่าหลังจากการกินอาหารที่ใช้พริกขี้หนู แก่จัดสีแดงเป็นเครื่องปรุงแต่งนาน 3 สัปดาห์ ทำให้สารกลุ่มคอร์ติโซน (free hydrogenated cortisone) ในพลาสมาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปริมาณที่ขับออกทางปัสสาวะก็เพิ่มขึ้น สารสกัดจากพริกเมื่อฉีดเข้าช่องท้องของหนูถีบจักรมีฤทธิ์กดประสาททำให้เดินเซเล็กน้อย และชักตายเมื่อฉีดเข้าหลอดเลือด มีฤทธิ์กระตุ้นมดลูกของหนูขาวที่ทดลองนอกร่างกาย มีฤทธิ์กระตุ้นปลายประสาทรับความรู้สึกทั่วไป
ความเป็นพิษ
เมื่อฉีดแคปไซซินในปริมาณสูงเข้าใต้ผิวหนังทำให้เกิดการสะสม เป็นพิษถึงตายได้ ปริมาณของแคปไซซินที่ทำให้หนูขาวตาย 50% (LD50) เมื่อฉีดเข้าหน้าท้องหนูขาวที่เพิ่งหย่านมหรือในหนูขาวตัวโตเต็มวัยและหนูถีบจักรอยู่ในช่วง 6.5-13.2 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว แต่ถ้าให้กินพบว่าพิษของแคปไซซินลดลงกว่าการฉีดถึง 25 เท่า อาจเป็นเพราะการกินนั้นร่างกายดูดซึมแคปไซซินได้น้อยกว่าการฉีด
ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaikasetsart.com