สศก. ลงพื้นที่ชุมชนท่ามะพร้าว จังหวัดกระบี่ ติดตามโครงการพัฒนาอาชีพเสริมความเข้มแข็งชุมชนประมง เผยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในชุมชนรวม 23 ล้านบาทต่อปี

ดร.ทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการติดตามประเมินผลโครงการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนประมง ในรอบปีงบประมาณ 2565 และการติดตามผลต่อเนื่องในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งโครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการเกษตร แผนแม่บทย่อยการพัฒนาระบบนิเวศการเกษตร มีกรมประมงเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ

ดร.ทัศนีย์ เมืองแก้ว รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)

โครงการดังกล่าว นับว่ามีส่วนสำคัญในการช่วยส่งเสริมอาชีพประมง ก่อเกิดการสร้างรายได้และการจ้างงานในชุมชน เกิดความมั่นคงในการประกอบอาชีพประมง ชุมชนเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้ ดังนั้น สศก. โดยศูนย์ประเมินผล จึงได้ดำเนินการติดตามผลโครงการ ในปีงบประมาณ 2565 พบว่า มีชุมชนประมงที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 200 ชุมชน ในพื้นที่ดำเนินการ 50 จังหวัด ครบตามเป้าหมาย ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ พัฒนาแหล่งอาศัยสัตว์น้ำ 48 ชุมชน จัดตั้งและพัฒนาธนาคารสัตว์น้ำ 18 แห่ง จัดตั้งโรงเพาะฟัก 9 แห่ง จัดสร้างอนุบาลสัตว์น้ำ 17 แห่ง จัดซื้อเครื่องมือที่เหมาะสมและถูกกฎหมาย 80 ชุมชน สนับสนุนอุปกรณ์ซ่อมแซมเครื่องมือทำการประมงและเรือ 40 ชุมชน และอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีและเพิ่มทักษะประมง 25 ชุมชน

สำหรับปีงบประมาณ 2566 กรมประมงกำหนดเป้าหมายชุมชนประมงที่เข้าร่วมโครงการ เพิ่มเติมอีกจำนวน 230 ชุมชน 77 จังหวัด โดยล่าสุด จากการลงพื้นที่ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ระหว่างวันที่ 31 มกราคม-3 กุมภาพันธ์ 2566 สศก. ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มทำอาชีพประมงพื้นบ้าน (ท่ามะพร้าว) ตำบลคลองพน อำเภอคลองท่อม ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ มีการก่อตั้งรวมกลุ่มเมื่อปี 2539 แต่ภายหลังต่อมา มีการทำลายป่าชายเลน สัตว์น้ำถูกทำลาย ชาวประมงมีรายได้ลดลง ดังนั้น ทางกลุ่มจึงได้เข้าร่วมโครงการ ในปี 2564 โดยกรมประมง ได้สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์เพื่อจัดตั้งธนาคารปูม้าไข่นอกกระดอง พร้อมสร้างความรู้ความเข้าใจ ให้ชุมชนมีจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากชาวประมงที่ออกทะเลแล้วได้ปูม้าไข่นอกกระดองจะนำมาฝากที่ธนาคารของกลุ่ม เพื่ออนุบาลและนำลูกปูปล่อยสู่ทะเล ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการธนาคารปูม้า ได้มีการปล่อยลูกปู สู่ทะเลไปแล้วประมาณ 42 ล้านตัว

ผลจากการดำเนินโครงการ สามารถเพิ่มปริมาณปูม้าในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ชาวประมงในชุมชนท่ามะพร้าวมีรายได้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่สามารถจับปูม้าได้ เฉลี่ย 2 กิโลกรัมต่อเที่ยว เพิ่มขึ้นเป็น เฉลี่ย 3 กิโลกรัมต่อเที่ยว และมีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 150 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มเป็น 240 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากปูที่จับได้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงราคาตลาดปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ปริมาณปูที่เพิ่มขึ้น ยังช่วยรองรับคนในชุมชนที่ประกอบอาชีพอื่นและได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้หันมาประกอบอาชีพประมงจับปูม้าเพิ่มขึ้นกว่า 100 คน ทั้งนี้ ในภาพรวม ชุมชนท่ามะพร้าวและพื้นที่ใกล้เคียง สามารถจับปูม้าเพิ่มขึ้นหลังมีธนาคารปู จากเดิมเฉลี่ยวันละ 240 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 400 กิโลกรัม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในชุมชนรวมมากถึง 23.04 ล้านบาทต่อปี