มหัศจรรย์ อัด-สะ-จ.-ร.-หัน-กา-รัน-ย.

ฉันมาจากแดนไกล เดินทางข้ามทวีปก่อนจะมาอยู่เมืองไทย ถิ่นกำเนิดฉันในแอฟริกาตะวันตก  สาธารณรัฐกานา (Ghana) ประเทศกานา อาจจะมีพูดถึงประเทศนี้น้อยแต่สีสันโดดเด่นมากทั้งสีผิวชนพื้นเมืองและสีสดใสของเสื้อผ้า แต่เมื่อฉันข้ามโลกไปอยู่ที่รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ฉันจึงมีโอกาสได้มาอยู่เมืองไทย เพราะเมื่อปี 2532 เจ้าของ “suanvarin” คุณวารินทร์ ชิตะปัญญา จากสวนวารินทร์ อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ได้นำเข้ามาทำการปลูกเพาะขยายพันธุ์ไว้หลายร้อยต้น เพื่อเผยแพร่ให้ผู้สนใจไม้รสชาติแปลกชนิดนี้ ให้เป็นที่รู้จักจนทุกวันนี้ ฉันจึงรู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจมากที่ฉันได้อยู่ใน “โลกออนไลน์แห่งกูเกิล”

ฉันคิดไม่ถึงว่าตัวฉันเอง มีนักวิชาการเด่นดังระดับประเทศหลายท่านได้กล่าวถึง นอกเหนือจากที่ อาจารย์ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ บันทึกไว้เป็นเกียรติแล้ว มี อาจารย์อานนท์ เอื้อตระกูล ผู้มีชื่อเสียงด้านการเพาะเห็ด และผู้เชี่ยวชาญองค์การค้าโลก ประจำประเทศกานา ปี พ.ศ. 2532-2535 กล่าวถึง “ต้นมหัศจรรย์” ว่าเป็นพืชประจำประเทศกานา ที่มีการปลูกมากที่สุดเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในยุโรปและอเมริกา ได้ศึกษาแล้วไม่มีความเป็นพิษ เพียงแต่มีข้อควรระวังคือ สตรีมีครรภ์ ให้นมบุตร ผู้ป่วยเบาหวานจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้ มีนักวิชาการอีกท่าน คือ ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำมันมะพร้าว ได้กล่าวถึงว่า เป็นผลไม้ปราศจากน้ำตาล จึงไม่มีแคลอรี สามารถแทนน้ำตาลสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน แต่แปลกยิ่งขึ้นอีก เมื่อผู้ค้นพบความหวานและความแปลกของไม้ผลนี้ เป็นศาสตราจารย์ทางจิตวิทยา แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล

คงอยากจะรู้จักฉันแล้วซินะ ถ้าจะปลูกก็ต้องใช้วิธีเพาะเมล็ด ถ้าจะตอนกิ่งก็ทำได้ แต่จะออกรากช้ามาก ทรงพุ่มไม่ใหญ่โตนัก สูงประมาณ 3-4 เมตร เจริญเติบโตช้า แม้ว่าสภาวะอากาศจากถิ่นฐานกำเนิดจะใกล้เคียงกับเมืองไทย ชอบความชื้น และอย่าให้แดดจัดมากเพราะชอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ออกดอกผลเกือบตลอดปีหลังปลูกอายุได้เกิน 2 ปี มีเคล็ดไม่ลับวิธีปลูกโดยนำผลแก่สุกเต็มที่ที่มีสีแดงคล้ำมาผึ่งแดด 1-2 วันให้แห้ง แต่เมล็ดไม่ควรเก็บไว้เกิน 10 วัน แกะเปลือกหุ้มเมล็ดออก นำวางไว้บนดินร่วนโปร่ง ดินขุยไผ่ หรือดินผสมใบก้ามปู ร่วมกับเปลือกมะพร้าวสับ ให้ดูดซึมน้ำชุ่มชื้น วางเมล็ดใช้นิ้วกดเบาๆ แต่อย่ากลบดินมิดให้เมล็ดลึก จะไม่งอก ในช่วงแรกควรพรางแสง 50 เปอร์เซ็นต์

รดน้ำทุกวันอย่าให้ดินแห้ง ฉันเป็นไม้ยืนต้น เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ลำต้นสีน้ำตาลอ่อน พุ่มเตี้ย ยอดใบอ่อนสีน้ำตาล ส่วนใบแก่สีเขียวเข้มคล้ายใบชาแก่ ออกผลตามกิ่งก้าน ผลสุกสีแดงสดเข้มคล้ายแอปเปิ้ลสุก ลักษณะผลคล้ายมะม่วงหาวมะนาวโห่ หรือมะเขือเทศขนาดเล็ก เมล็ดข้างในเป็นวงรีคล้ายเมล็ดกาแฟคั่ว เนื้อสีชมพูอ่อนไม่มีรสชาติ แต่เมื่อกลืนเข้าไปจะรู้สึกหวานนิดๆ อยากเจอตัวเป็นๆ ของฉันมั้ย พบฉันได้ที่ตึกพิพิธภัณฑ์พืชกรุงเทพ กรมวิชาการเกษตร ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ณ ประตูทางเข้าป้ายบอก “กลุ่มวิจัยพฤกษศาสตร์และพิพิธภัณฑ์พืช สำนักคุ้มครองพันธุ์พืช” ประตูด้านข้างริมถนนตรงข้าม โรงเรียนข้าวและชาวนา เข้าประตูแล้ว ฉันอยู่ต้นที่สองด้านขวามือจ้า

เมื่อปี พ.ศ. 2509 Mrs. Linda Summerfield นักจิตวิทยาสหรัฐอเมริกา ศึกษาเรื่องจิตวิทยาการลิ้มรส พบชิมรสชาติของผลไม้มหัศจรรย์ และรายงานความมหัศจรรย์ว่า มีส่วนช่วยในการลดความเครียดของผู้ป่วย ที่ถูกแพทย์ห้ามกินของหวานหรืออาหารที่ให้พลังงานสูง ได้ทดลองและวิจัยถึงสารที่มีผล ทำให้ลิ้นรับรสความหวาน จากอาหารทุกชนิดได้นานเป็นชั่วโมง พบว่าตัวการนี้คือ Glycoprotein ที่จะเคลือบลิ้นเป็นชั้นบางๆ ติดนานเป็นชั่วโมง จากกลไกนี้ ในปี พ.ศ. 2511 ทั่วโลกจึงรู้ว่าสารที่ทำให้เกิดความมหัศจรรย์นี้คือ Miraculin ซึ่งสารมิราคูลิน เป็นไกลโคโปรตีน ที่จะจับตัวรับรสหวานในตุ่มรับรส (taste bud) เปลี่ยนโครงสร้างตัวรับ ทำให้ตัวรับรสหวานตอบสนองกับรสหวานและรสเปรี้ยว เมื่อกินอาหารรสเปรี้ยวเข้าไป ตัวรับรสหวานก็ส่งกระแสประสาท ไปยังสมองบอกว่าอาหารนั้นมีรสหวาน

ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 นักวิจัยญี่ปุ่นและฝรั่งเศส ได้ตีพิมพ์ในวารสาร PNAS ยืนยันว่ายิ่งกินของเปรี้ยวมากก็จะรับรู้รสหวานมาก ด้วยอิทธิพลจากสารมิราคูลินนี้ ในทางการค้าญี่ปุ่นต้องการผลไม้ชนิดนี้มาก เพราะไม่สามารถปลูกในญี่ปุ่นได้ผลดี จึงใช้ผลมิราเคิลสดๆ จัดวางบนโต๊ะดื่มไวน์ ร้านกาแฟ ให้เพิ่มรสชาติโดยไม่ต้องใส่น้ำตาลในกาแฟ จนกลายเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เชิงลดความอ้วน จึงเป็นที่น่าสนใจในวงการเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมยา ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดี จึงมีการนำไปใช้ประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องงดน้ำตาล หรืออยากกินผลไม้เปรี้ยวจัด เช่น มะนาว มะยม ตะลิงปลิง มะดัน มะม่วงหาวมะนาวโห่ รวมถึงส้มตำ ต้มยำ รสเปรี้ยวจัดต่างๆ เพียงแค่กินผลสุกแก่จัด ของ “ผลมหัศจรรย์” 1 ผล เคลือบลิ้น แล้วกลืนน้ำลายทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที แล้วกินผลไม้เปรี้ยวเหล่านั้นได้เลย สิ่ง “มหัศจรรย์” ที่เกิดขึ้นคือรสชาติของ “ของเปรี้ยว” จะกลายเป็นรสหวาน โดยไม่สูญเสีย วิตามินซี ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ให้ผิวสวยสดใสชะลอความแก่ได้ด้วย ทำให้กินผลไม้รสเปรี้ยวจัดได้อย่างชื่นใจ

ชื่อมิราเคิล (Miracle Fruit) มหัศจรรย์ที่เปลี่ยนรสเปรี้ยวให้เป็นรสหวาน เอ่ยเป็นชื่อภาษาอังกฤษ ความรู้สึกคงจะไม่แปลกนัก เพราะค่อนข้างจะคุ้นชินหู เช่น Amazed ; Strange แต่อยากให้เอ่ยเป็นภาษาอีสานบ้างว่า “ข่อยละงึด” เพราะ “งึด” ที่อีสานคือ มันน่าทึ่ง น่าแปลก ประหลาด ทำให้นึกถึงคำว่า “เครื่องบินบินได้ก็บ่งึด เรือดำน้ำได้ก็บ่งึด (หยิบปลากระป๋องมา) แต่ไฉนน้อ ปลาจึงมานอนอ้อยสร้อยในกระป๋อง