7 พืชควรปลูกรอบบ้าน ได้ทั้งไว้กินเอง และสร้างรายได้

ผักบ้านๆ คู่ครัวไทย แถมยังเติบโตง่ายในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรา ผักแต่ละชนิดต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน เพราะผักบางชนิดชอบแดด บางชนิดชอบน้ำ ทุกครั้งที่ปลูกไม่ว่าชนิดไหนเราจึงควรหมั่นดูแล เอาใจใส่ แล้วพืชที่ปลูกจะได้ผลผลิตที่ดี

บ้านใครมีพื้นที่ปลูกพืชผักถือว่ามีทำเลทองอยู่ในบ้าน ได้ผักที่ปลอดสารไว้กินเองดีต่อสุขภาพ แถมยังสามารถต่อยอดด้วยการปลูกผักขายได้อีกด้วย เป็นกิจกรรมยามว่างสำหรับวันหยุด ชวนครอบครัวมาปลูกผักไว้ทำอาหารกินเองกันดีกว่า มีพืชชนิดไหนที่ปลูกรอบบ้านกันบ้างไปดูกันเลย

🍀สะเดา

🪴วิธีการปลูก

เป็นพืชปลูกง่าย ทนแล้ง ยิ่งแล้งยิ่งออกดอกดี การปลูกสามารถปลูกได้หลายวิธี จะปลูกแบบชำต้น พอต้นสมบูรณ์แล้วค่อยเอาลงดิน หรือปลูกแบบเสียบยอดก็ได้ ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ให้ผลรับออกมาเหมือนกัน สะเดาจะผลัดใบช่วงสั้นๆ ปีละ 1 ครั้ง ในช่วงออกดอก ประมาณเดือนธันวาคม-มกราคม ผลมีลักษณะและขนาดคล้ายพวงองุ่น สุกประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผลสุกมีสีเหลือง หรือเหลืองอมเขียว ภายในมีเมล็ด 1-2 เมล็ด

🌱การเพาะกล้าจากเมล็ดสะเดา

การเก็บเมล็ดสะเดามาเพาะกล้า มีเคล็ดลับว่าเมล็ดสะเดาจะต้องแก่จัด โดยเมล็ดสะเดาจะร่วงช่วงเดือนเมษายน เมื่อร่วงต้องรีบเก็บมาเพาะ และห้ามนำเมล็ดที่ร่วงเกิน 1 เดือนมาเพาะ เพราะเมล็ดจะไม่งอก เมื่อต้นกล้าโตพอให้นำมาทำการเปลี่ยนยอด โดยเสียบยอดด้วยสะเดาทะวาย หรือทาบกิ่ง

✨การเตรียมดิน

เตรียมดินเหมือนปลูกพืชทั่วไป ไถเตรียมแปลง แล้ววัดระยะหลุม 4×4 เมตร ลักษณะดินที่เหมาะสมกับการปลูก เป็นดินที่น้ำไม่ท่วมขัง น้ำไม่แฉะมาก เติบโตได้ดีในดินลูกรัง

⏰ช่วงเวลาที่เหมาะสม

แนะให้เลือกปลูกช่วงต้นฤดูฝน สำหรับคนที่ยังไม่มีระบบน้ำ พอผ่านฝน ต้นสะเดารากเดินแล้ว ตรงนั้นถือว่าไม่มีปัญหา ถือว่ารอดตายแล้ว ปุ๋ยให้ปีละครั้งหรือสองครั้ง เป็นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือหากใครพอมีกำลังจะใส่ปุ๋ยเคมี หรือน้ำหมักฉีดทางใบก็ได้

💡เคล็ดลับ 

ระหว่างรอสะเดาโตควรปลูกพืชอื่นแซมเพื่อสร้างรายได้ระหว่างรอผลผลิตจากพืชหลัก สำหรับพืชแซมที่เหมาะต่อการปลูกนั้นสามารถปลูกได้ตั้งแต่แตงกวา แตงโม ฟักทอง ข้าวโพด ซึ่งพืชพวกนี้จะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน ก็ขายได้

🍀ชะอม

เป็นพืชที่ปลูกง่าย สามารถปลูกได้ทุกสภาพดิน และยังเป็นผักที่ปลูกตามบ้านเรือนเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร ทั้งใบอ่อนหรือส่วนยอดของใบสามารถนำมากินได้ แตกยอดทั้งปี นิยมปลูกเป็นรั้วบ้านเพราะมีหนามแหลมช่วยป้องกันการบุกรุก

🪴วิธีการขยายพันธุ์ชะอม

สามารถทำได้โดย การตอนกิ่ง และการปักชำกิ่ง หรือการโน้มกิ่งชะอมฝังดินทำให้แตกรากใหม่เกิดเป็นต้นใหม่เพิ่มขึ้น วิธีการปลูกชะอม ถ้าใช้กิ่งตอนจะนิยมยกร่องแล้วขุดหลุมปลูกบนร่อง โดยทั่วไปจะปลูกห่างกันต้นละประมาณ 30-50 เซนติเมตร เป็นแถวเป็นแนวหรือปลูกเป็นแปลงระยะห่างของแถวประมาณ 1 เมตร แต่ถ้าปลูกริมรั้วบางครั้งก็ใช้แถวคู่ ระยะห่างระหว่างแถวและระหว่างต้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร

✨การเตรียมแปลงปลูกต้นชะอม

ไถพรวนดิน 1-2 รอบ แต่ละรอบตากดินนาน 7-14 วัน กำจัดวัชพืชออกให้หมด หว่านด้วยปุ๋ยคอกอัตรา 2-4 ตันต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ ไถยกร่องแปลงที่ระยะห่างของแถวที่ 2 เมตร หรืออาจไม่ไถยกร่องแล้วแต่ความสะดวกของคนปลูก

🌱การเก็บยอดชะอม

เมื่อปลูกชะอมได้ประมาณสัก 3 เดือน ให้รดน้ำวันเว้นวัน ต้นชะอมจะชอบชื้นแต่ไม่ชอบแฉะ เพราะจะทำให้รากเน่าตายได้ ชะอมก็จะเริ่มแตกยอดอ่อนมาให้เก็บไปขายหรือใช้บริโภคได้แล้ว และเมื่อเก็บยอดชะอมไปขาย ชะอมก็จะแตกยอดใหม่มาเรื่อยๆ ควรดูแลรักษาต้นชะอมโดยการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักหลังจากปลูกชะอมได้ 2-3 เดือน จะทำให้ต้นชะอมแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี

💡เคล็ดลับการกระตุ้นการแตกยอดอ่อนของชะอม

ใช้ปุ๋ยยูเรีย เพื่อกระตุ้นการแตกยอดใหม่ของชะอม แต่ควรใช้ในอัตราที่น้อย และต้องใช้ปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักด้วยจะทำให้ดินดีมีความอุดมสมบูรณ์มาก ต้นชะอมจะเจริญเติโตดีด้วยการกระตุ้นการแตกยอดอ่อนของชะอม หรือน้ำหมักชีวภาพ ที่หมักจากยอดอ่อนของพืชชนิดต่างๆ ปริมาณการใช้อัตราส่วนน้ำหมัก 1 ลิตรต่อน้ำ 40 ลิตร รดทุก 7 วัน ชะอมจะแตกยอดอ่อนได้ดี และช่วยให้ต้นแข็งแรงดีด้วย แต่ก็ควรใส่ปุ๋ยหมักในดินให้กับต้นชะอมด้วยจะดีมาก

🍀ผักกูด
การปลูกผักกูดให้ได้ผลผลิตที่ดีต้องปลูกในสภาพแสงแดดรำไรและมีความชื้นสูง หากเราจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโต สามารถปลูกได้ทุกภูมิภาคของประเทศไทย

🌱วิธีการปลูก
ผักกูดสามารถปลูกได้ 2 วิธี คือ การปลูกร่วมกับพืชชนิดอื่น เพื่อช่วยในการพรางแสง เช่น การปลูกร่วมกับกล้วย หรือปลูกร่วมกับไม้ผลยืนต้น วิธีที่สอง ปลูกภายใต้ร่มเงาตาข่ายพรางแสงหรือซาแรนที่สามารถพรางแสงได้ตั้งแต่ 50-60 เปอร์เซ็นต์ 

🪴การเตรียมแปลงปลูก
ควรใช้ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก เช่น ขี้วัว ขี้ไก่แกลบ มาผสมดินที่ใช้ปลูก หรืออาจนำมาหว่านบริเวณที่ต้องการปลูกผักกูด นำพันธุ์ผักกูดที่เตรียมไว้มาปลูก โดยนำดินมากลบพอมิด จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มมากๆ ห้ามปลูกต้นผักกูดลึกจนเกินไป เพราะจะทำให้รากออกยาก หรือไม่ออกเลย ระยะปลูกที่ใช้ระหว่างแถวและระหว่างต้น 50 เซนติเมตร

💡เคล็ดลับ
การดูแลรักษาเน้นการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นหลัก โดยใส่ประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อต้น ใส่ทุกๆ 3 เดือนต่อครั้ง ร่วมกับการพ่นปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ำ 1-2 ครั้งต่อเดือน ในช่วงที่เริ่มเก็บผลผลิตแล้ว จะช่วยให้ได้ต้นมีการเจริญเติบโตและผลผลิตดีขึ้น

🍀ใบพลู

เป็นพืชไม้เลื้อยที่นิยมนำมากินคู่กับหมาก นอกจากพลูจะเป็นที่นิยมกินแล้ว ยังได้มีการนำมาใช้ในพิธีมงคล จึงนับได้ว่าพลูเป็นพืชที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของสังคมไทยมาอย่างยาวนานเลยทีเดียว จึงทำให้พลูยังมีความต้องการของตลาดค่อนข้างมาก จนถึงเรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้ไม่น้อย

🪴การปลูก

การเตรียมไม้ค้าง เนื่องจากพลูเป็นพันธุ์ไม้เลื้อยที่ต้องอาศัยรากเจริญเกาะขึ้นไปกับค้าง การเตรียมดินทำได้โดยไถดินตากไว้อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ยกร่องให้สูงเพื่อช่วยในการระบายน้ำ ตากดินทิ้งไว้ระยะหนึ่งประมาณ 1-2 วัน แต่ถ้าบริเวณที่ปลูกเป็นดินเหนียวหรือดินร่วนปนทรายควรใส่ปุ๋ยคอก เพื่อให้ดินร่วนและทำให้การอุดมสมบูรณ์มีเพิ่มมากขึ้น หากดินเหนียวหรือดินแน่นจะต้องพรวนดิน ย่อยดินให้ร่วนเสียก่อนและต้องระวังอย่าให้มีน้ำขังในแปลงปลูก

🌱การเตรียมแปลงปลูก

ก่อนที่จะปลูกพลูควรนำหญ้าแห้ง ใส่ลงในหลุมและจุดไฟเผา เพื่อฆ่าเชื้อโรคและศัตรูพืชอื่นๆ ที่อาจจะอยู่ในหลุม จากนั้นก็ทำการลงไม้ค้างในดิน ส่วนดินที่จะใส่ลงหลุมควรเป็นดินผสมปุ๋ย หลุมปลูกมีขนาดประมาณ 50 x 50 เซนติเมตร และลึกประมาณ 60 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1.5-2.0 เมตร และระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 1.50 เมตร

💡เคล็ดลับ
พลูจะชอบอากาศร้อน อุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ชอบแสงแดดจัดหรืออุณหภูมิที่สูงเกินไป เพราะจะทำให้ต้นพลูอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องพรางแสงแดดลดความร้อนด้วยการให้ร่มเงาหรือปลูกพืชอื่นให้ร่มเงามากขึ้น

🍀ดอกขจร
ผักพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายประเภท หรือจะนำมาลวกจิ้มกินกับน้ำพริกก็อร่อย แถมยังมีวิธีการปลูกและดูแลง่าย ปลูกได้ทุกสภาพพื้นดิน

🌱การเตรียมดิน
ไถตากดินทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ แล้วไถอีกครั้ง จากนั้นขุดหลุมปลูกได้เลย หลุมขุดลึกแค่พอกลบกิ่งชำ 1 ไร่ ปลูกได้ 400 ต้น ระยะห่างระหว่างต้น 1.50 เมตร

🪴วิธีปลูก
ขจรเป็นพืชไม้เลื้อย ก่อนปลูกต้องทำค้างก่อน ค้างที่ทำแล้วได้ผลดีเรียกว่าค้างโต๊ะ ลักษณะเป็นรูปตัวยูคว่ำ มีไม้ด้านข้างยาวไปตลอดแนว และใช้ตาข่ายคลุมด้านบน ช่วยลดลมปะทะ ถ้าเป็นค้างแบบแนวตั้งเมื่อลมมาจะต้านลมเยอะอาจทำให้ต้นล้มได้

💧ระบบน้ำ
2 สัปดาห์แรกเปิดน้ำรดทุกวัน ช่วยให้โตเร็ว รากเดินดี หลังจากนั้นสังเกตว่าใบเริ่มแตก ให้ลดน้ำลงเหลือสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ตามสภาพอากาศ

💡เคล็ดลับ
ช่วงหน้าหนาวของทุกปี คือ ฤดูกาลตัดแต่งต้นขจร เพื่อให้ดอกจะได้ช่อใหญ่และดก เริ่มให้ดอกเดือนที่ 3-4 แต่ในช่วงแรกดอกจะยังไม่ติดหมด อาจจะมีร่วงบ้าง จะเริ่มเก็บดอกได้จริงจังช่วงเดือนที่ 5 เก็บไปตลอด ให้ผลผลิตนาน 7-8 เดือน หยุดให้ดอกช่วงหน้าหนาว

🍀พริกไทย

จะเจริญเติบโตได้ดีกับอากาศที่มีความชื้นสูง แดดไม่แรง ซึ่งในยุคเริ่มต้นของการปลูกพริกไทยนั้น นิยมปลูกกันมากในภาคตะวันออกของประเทศไทยเรา ซึ่งจะเป็นลักษณะอากาศชื้น ฝนชุก มีลมพัดผ่าน ทำให้ไม่มีความร้อนสะสม

🌱การเตรียมกิ่งพันธุ์ ทำได้ 2 วิธี คือ

  1. ตัดจากค้างที่สมบูรณ์ เหนือพื้นดิน 50 เซนติเมตร ตัดเป็นท่อนยาว 5-6 ข้อ ตัดกิ่งแขนง ข้อที่ 1-3 ดอก แล้วนำไปปลูกหลุมละ 4 กิ่ง
  2. นำกิ่งพันธุ์ที่ตัดเป็นท่อนแล้ว ปักชำในถุงพลาสติก ขนาด 9×14 นิ้ว ประมาณ 2-3 เดือน พริกไทยจะงอกรากและแตกยอด จึงย้ายปลูกในแปลง

🪴การเตรียมดิน 

ใช้ดินในส่วนแรกหน้าดิน จำนวน 70 เปอร์เซ็นต์ ผสมขุยมะพร้าว จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ ผสมปุ๋ยคอกเก่า จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ ผสมเศษวัสดุการเกษตร เช่น เปลือกถั่วต่างๆ ใบก้ามปู ใบไผ่ จำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ เคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน โดยเรียงลำดับชั้น โดยแต่ละชั้นจะราดน้ำยาช่วยย่อยสลายพวกปุ๋ยน้ำหมักจุลินทรีย์ลงไปเพื่อให้เกิดการย่อยสลายที่เร็วขึ้น และหมักทิ้งไว้ ประมาณ 2-3 สัปดาห์ และค่อยนำมาลงหลุมปลูก หรืออาจใช้แค่ซากพืชและพรวนดิน พร้อมใช้น้ำยาช่วยย่อยสลายก็ได้เช่นกัน

🌱การปลูก

ควรปลูกช่วงฤดูฝน นำต้นพริกไทยที่เตรียมไว้วางลงในหลุมให้เอียงเข้าหาค้าง ประมาณ 2 ข้อฝังดิน และอีกประมาณ 3 ข้ออยู่เหนือดิน

💧การให้น้ำ

การให้น้ำช่วงแรก ของการปลูกต้องรดน้ำทุกวัน หรือวันเว้นวันจนกระทั่งต้นตั้งตัวได้ดี แล้วลดการให้น้ำเหลือ 2-3 วันต่อครั้ง

💡เคล็ดลับ  

การใช้กิ่งพันธุ์แบบตอนแล้วนำไปชำ มักให้ผลดีกว่า และเปอร์เซ็นต์ต้นที่สมบูรณ์ค่อนข้างสูง เพราะนำตุ้มตอนที่ออกรากจนดีแล้วมาชำลงในถุง เพื่อให้เกิดการขยายรากเพิ่มในถุงอีก 1 ชั้น จะมีระบบราก 2 ชั้น และพอปลูกไปแล้ว มีโอกาสเติบโตเร็วมาก แต่ราคาค่อนข้างจะสูง

🍀ผักหวานป่า

หากินยากมาก เพราะจะมีอยู่แต่ในป่าและได้กินเฉพาะช่วงหน้าร้อน-หน้าฝน เท่านั้น แต่หลายปีมานี้มีการนำเมล็ดพันธุ์ผักหวานป่ามาปลูกกันอย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบผักชนิดนี้มีกินได้ตลอดทั้งปี

🪴การปลูก

รองก้นหลุมด้วยขี้วัว ปลูกหลังจากเพาะกล้าเมล็ดได้สัก 1 เดือน ขุดหลุมปลูกไม่ต้องให้ลึกมาก ระยะปลูกที่แนะนำ 1×1 เมตร จะได้จำนวน 400 ต้นต่อไร่ และระยะ 2×2 เมตร จะได้ 200 ต้นต่อไร่ ต้นอ่อนต้องครอบด้วยกระถางหรือเข่งไม้ไผ่ ให้ต้นกล้าผักหวานป่าต้นอ่อนโดนแสงแดดน้อย เป็นเวลา 1 ปี หลังปลูกเสร็จ ต้องให้น้ำประมาณ 1 เดือน ก่อนที่ฤดูฝนจะมาถึง

⏰ระยะเวลา

ในฤดูกาลแตกยอดเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมของทุกปี ในช่วงที่ต้องการให้ผักหวานป่าออกยอด ควรตัดแต่งกิ่ง ให้ขี้วัว ขี้หมู ขี้ไก่ ปีละ 2-3 ครั้ง พ่นน้ำหมักชีวภาพหัวปลีฉีดพ่นยอดผักหวานป่า จะทำให้ยืดยาวได้น้ำหนัก

💡เคล็ดลับเพื่อให้ออกตลอดทั้งปี

เน้นปลูกจากการเพาะเมล็ดเป็นหลัก เนื่องจากจะได้ต้นผักหวานป่าที่มีรากเดินดีและแข็งแรง อีกทั้งจะมีชีวิตอยู่ได้นานเป็น 100 ปี10

#Technologychaoban #เทคโนโลยีชาวบ้าน #พืช #ปลูกผัก #สร้างรายได้