ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตรัง หนุนเกษตรกรเพาะเลี้ยงแหนแดงเป็นอาหารพืชหรืออาหารสัตว์

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตรัง หนุนเกษตรกรเพาะเลี้ยงแหนแดงเป็นอาหารพืชหรืออาหารสัตว์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้ปุ๋ยเคมีและยังดีต่อสุขภาพ สามารถเพาะขายสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย

วันนี้ (8 มกราคม 2567) ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตรัง หมู่ที่ 5 ตำบลสุโสะ อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง มีการเพาะเลี้ยงแหนแดงให้ได้มากกว่าเดือนละ 100 กิโลกรัม เพื่อผลิตเป็นพ่อแม่พันธุ์แจกจ่ายให้กับเกษตรกรที่ปลูกพืชหรือเลี้ยงสัตว์ ได้นำไปเพาะขยายพันธุ์ จนใช้เป็นอาหารของสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ หมู หอยเชอรี่สีทองและปลากินพืชได้ทุกชนิด เนื่องจากมีไนโตรเจนและโปรตีนสูง อีกทั้งยังใช้เป็นปุ๋ยพืชสด หรือนำไปตากแห้ง ใช้ผสมดินแทนพีทมอสที่มีราคาแพงได้เป็นอย่างดี เพราะมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ และมีธาตุอาหารที่จำเป็นหลายชนิด

ผลการศึกษาวิจัยพบว่า แหนแดงมีไนโตรเจนสูงถึง 4-5% มากกว่าพืชตระกูลถั่วที่มี 2.5-3% เท่านั้น หากเกษตรกรนำไปขยายพันธุ์ได้ จะช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้สารเคมี และดีต่อสุขภาพ แถมแหนแดงอ่อนที่ยังเป็นสีเขียว ยังนำมาใช้ทำอาหาร เช่น ลวกจิ้มน้ำพริก แกงเลียง ผัดน้ำมันหอย และแกงอื่นๆ ได้

นอกจากนี้ ยังช่วยบำบัดน้ำเสีย ลดความสกปรกของน้ำได้อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งหากเกษตรกรนำไปขายยังสามารถสร้างรายได้ได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแหนแดงจะแตกตัวเร็ว ภายในเวลา 2-3 วัน แหนแดงจะแตกตัวเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัว อีกทั้งยังดูแลไม่ยุ่งยาก เพาะเลี้ยงง่าย สามารถเลี้ยงในบ่อพลาสติก บ่อซีเมนต์ กะละมังหรือภาชนะอื่นๆ ได้ แค่ใส่ดินและปุ๋ยคอกลงไป ก่อนใส่น้ำให้แหนแดงลอยได้ และวางในที่ที่มีแสงแดดปานกลาง เพียงแค่ 1 อาทิตย์ก็จะมีแหนแดงเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก

ด้าน น.ส.ณัฎฐา แสงแก้ว นักวิชาการเกษตร ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตรัง กล่าวว่า ได้ทำการเพาะแหนแดงมาประมาณ 4 ปีแล้วได้น้ำหนักสดแหนแดงเดือนละ 100 กิโลกรัม เป้าหมายคือให้เกษตรกรนำไปใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิต ทั้งเรื่องการใช้ปุ๋ยเคมีและลดต้นทุนอาหาร เพราะแหนแดงนอกจากจะมีโปรตีนสูงแล้ว ยังมีไนโตรเจนสูงด้วย ทำให้สัตว์กินพืชจะชอบ เช่น เป็ด ไก่ ปลา หอยเชอรี่สีทอง ซึ่งเกษตรกรจะเข้ามาขอพ่อแม่พันธุ์ไป ซึ่งเราส่งเสริมให้ไปเลี้ยงต่อ ซึ่งนอกจากจะมีแบบสดแล้ว ยังมีแบบตากแห้งเอามาผสมกับดิน เป็นวัสดุปลูก เพราะมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำคล้ายๆ พีทมอส ราคาถูก ถ้าเกษตรกรไม่มีเงินมากพอก็ใช้ตัวนี้แทนได้