ตั้ง “บริษัทใหม่” พุ่งสุดรอบ 4 ปี ก่อสร้าง-อสังหาฯยังครองแชมป์

นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่จำนวน 7,159 ราย เพิ่มขึ้น 20% เทียบกรกฎาคม 2560 และเพิ่มขึ้น 15% เทียบสิงหาคม 2559 ถือว่าเป็นยอดจดทะเบียนเทียบปีต่อปีสูงสุดในรอบ 4 ปี มูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ 47,354 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% เทียบกรกฎาคม 2560 และเพิ่มขึ้น 145% เทียบสิงหาคม 2559 ทำให้ 8 เดือนแรก (มกราคม-สิงหาคม) ปีนี้ มียอดจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทรวม 49,080 ราย เพิ่มขึ้น 14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าจดทะเบียนทั้งสิ้น 232,893 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนโดยธุรกิจจดใหม่มากสุดคือ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 621 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 394 ราย ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 218 ราย ธุรกิจการขนส่งสินค้ารวมถึงคนโดยสาร 142 ราย และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจัดการ 138 ราย ตามลำดับ

นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าวว่า นิติบุคคลที่จดทะเบียนเลิกในเดือนสิงหาคม 2560 มี 1,755 ราย เพิ่มขึ้น 8% เทียบกรกฎาคม 2560 และเพิ่มขึ้น 0.5% เทียบสิงหาคม 2559 มูลค่าจดเลิก 7,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เทียบกรกฎาคม 2560 และเพิ่มขึ้น 12% เทียบสิงหาคม 2559 ทำให้ 8 เดือนแรกปีนี้มีจดทะเบียนเลิกรวม 9,862 ราย ลดลง 1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีมูลค่าจดทะเบียนเลิกรวม 45,374 ล้านบาท ลดลง 48%

“จะเห็นว่าสัดส่วนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มากกว่าจดทะเบียนเลิก เป็นเครื่องยืนยันว่ายังมีความมั่นใจในการจัดตั้งธุรกิจ ยอดจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากมาตรการรัฐสนับสนุนการลงทุนผู้ประกอบการ เช่น ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่เอสเอ็มอี โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น โครงการรถไฟฟ้าหลายสาย ยิ่งทำให้ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เพิ่มจำนวนขึ้น ภาคท่องเที่ยวและส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง รวมทั้งมาตรการช่วยผู้มีรายได้น้อย มั่นใจว่าจะทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องเป็นขาขึ้น” นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าว

นางสาวบรรจงจิตต์ กล่าวว่า นอกจากนี้จะยิ่งมีความมั่นใจต่อการทำธุรกิจมากขึ้น หลังจากนักลงทุนญี่ปุ่นได้เดินทางลงพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) จึงมั่นใจว่าธุรกิจที่เป็นซัพพลายเชนจะเติบโตไปด้วย ทำให้ทั้งปีนี้คาดว่ายอดจดจัดตั้งใหม่จะเกิน 6.6 หมื่นราย ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ และอาจมีโอกาสขยายตัวได้ถึง 7% จากปีที่แล้ว จากเดิมที่ตั้งไว้ 3% ส่วนกรณีธนาคารโลกจะประเมินความยากง่ายในการทำธุรกิจของไทยในเดือนตุลาคมนี้ มั่นใจว่าจะดีขึ้นทั้งอันดับและคะแนนอย่างแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจากมติชนรายวัน