ที่มา | มติชนออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ทั้งนี้ หลังจากดูแลผักกูดรุ่นแรกไปแค่ 6 เดือน ก็สามารถเก็บยอดขายได้แล้ว และยังสามารถเก็บเกี่ยวไปได้ตลอด เนื่องจากผักกูดจะมีการขยายพันธุ์ด้วยสปอร์ ทำให้ยิ่งนานวันผักกูดก็ยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคุณลุงจะเก็บเกี่ยวยอด 1 วัน เว้น 2 วัน ได้ผลผลิตครั้งละไม่ต่ำกว่า 20-30 กิโลกรัม เพื่อนำไปขายในราคากิโลกรัมละ 20-25 บาท ซึ่งมีพ่อค้าคนกลางมารับถึงบ้าน หรือแบ่งขายเป็นมัดละ 10 บาท ที่ตลาดประชารัฐต้นน้ำลำขนุน นอกจากนี้ยังสามารถขายต้นกล้าได้ด้วย ในราคาต้นละ 3 บาท โดยมีลูกค้าจะสั่งเข้ามาครั้งละ 1-5 พันต้น จนสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรรายนี้ได้ให้อย่างงดงาม
ซึ่งหากเปรียบเทียบกับอาชีพทำสวนยางพาราในภาคใต้ จะพบว่า ผักกูดสามารถสร้างรายได้ให้มากกว่าถึง 3 เท่า แถมยังเป็นที่นิยมของผู้บริโภค เนื่องจากยอดอ่อนของผักกูด จะมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูง บำรุงสายตา บำรุงโลหิต ช่วยแก้ไข้ตัวร้อน แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ลดคอเลสเตอรอลในเม็ดเลือด มีสารบีตา-แคโรทีน และธาตุเหล็กสูง อีกทั้งนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู อาทิ ยำ แกงกะทิกับปลาย่าง ผัดน้ำมันหอย ลวกกะทิ ลวกจิ้มน้ำพริก นอกจากนั้น ผักกูดยังเป็นตัวชี้วัดสภาพแวดล้อมว่า ถ้าบริเวณดังกล่าวอากาศไม่ดี ดินไม่บริสุทธิ์ หรือมีสารเคมีเจือปนอยู่ จะไม่สามารถปลูกได้ หรือจะไม่ขึ้น หรือแตกต้นอย่างเด็ดขาด