สกว.ดันนวัตกรรมธุรกิจข้าว IBM มุ่งเกษตรอินทรีย์สู่วิถีชาวนา 4.0

ท่ามกลางบรรยากาศของประชาคมโลก นโยบายประเทศ และผู้คนในสังคมที่ต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบเป้าหมายตัวชี้วัด SDGs ย่อมเป็นโอกาสดีในการริเริ่มนวัตกรรมตัวแบบธุรกิจตามแนวทาง Inclusive Business Model (IBM) ที่มุ่งเน้นการสร้างทางเลือกแก่เกษตรกรรายย่อยให้เข้าไปมีส่วนร่วมในโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์ และได้รับประโยชน์ในการทำธุรกิจอย่างเป็นธรรม

ประเด็นท้าทายคือ การสร้างกลไกการจัดการความสัมพันธ์ใหม่ในการดำเนินธุรกิจร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์ซึ่งประกอบด้วยเกษตรกรรายย่อยที่อยู่ในฐานะผู้ผลิต สถาบันเกษตรกร และภาคีผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน เพื่อนำผลผลิตการเกษตรไปยังผู้บริโภคในตลาดเป้าหมาย และมีการจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม อันเป็นที่มาของแนวคิดการพัฒนาตัวแบบธุรกิจ IBM เพื่อการสร้างสรรค์ระบบธุรกิจเกษตรในรูปแบบและแนวทางที่ก่อให้เกิดสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเกษตรกรรายย่อยที่เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจได้รับโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ ปัจจัยการผลิต ตลาด และได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม โดยใช้สถาบันเกษตรกรเป็นกลไกในการดำเนินธุรกิจบนหลักการพึ่งพาและร่วมมือกัน

และนี่คือที่มาของงานวิจัย “โครงการธุรกิจข้าวแบบมีส่วนร่วม : กรณีวิสาหกิจชุมชนข้าวอินทรีย์ทุ่งทองยั่งยืน จ.สุพรรณบุรี” ซึ่งมี รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ ภัทราวาท สถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นหัวหน้าโครงการ ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากฝ่ายชุมชนและสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการทำธุรกิจข้าวแก่สถาบันเกษตรกรด้วยการพัฒนาโซ่คุณค่า ภายใต้ความร่วมมือของภาคีภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ ภายใต้คำขวัญ “ระบบธุรกิจที่ไม่ทิ้งชาวนาไว้ข้างหลัง”

การออกแบบระบบการวิจัยสำหรับแนวทางการสร้างสรรค์ธุรกิจข้าว IBM มุ่งเน้นการสร้างกลไกการทำงานใน 3 ด้าน ได้แก่ 1. การส่งเสริมการเรียนรู้แก่เกษตรกรเพื่อสร้างสมรรถนะ 3 มิติ (ทัศนคติ กระบวนทรรศน์ ความรู้) 2. การยกระดับกระบวนการธุรกิจของสถาบันเกษตรกรภายใต้กรอบการพัฒนาโซ่คุณค่า 3. การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างภาคีในการสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจสู่เป้าหมายร่วม โดยแนวทางดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชน เพื่อแก้ปัญหาชาวนาอย่างเป็นองค์รวม นำไปสู่การกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ซึ่งจะช่วยสานต่อนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศภายใต้โมเดลประเทศไทย 4.0

“เราเลือกพื้นที่ ต.จระเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เป็นพื้นที่วิจัย เพราะมีจุดเด่นหลายประการ ประการแรกคือ มีประธานวิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็งและเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่ได้รับความเชื่อถือและศรัทธาจากชุมชนและหลายหน่วยงาน ในฐานะเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล และมีการจำหน่ายภายใต้สัญญาข้อตกลงกับบริษัทซองเดอร์ นอกจากนี้ สมาชิกวิสาหกิจชุมชนดังกล่าวก็มีความรักใคร่สามัคคีกัน มีความจริงใจให้ความร่วมมือและพึ่งพากัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเพื่ออาชีพเกษตรที่มั่นคงยั่งยืน”

ภายใต้กระบวนการวิจัยนั้น หัวใจสำคัญประการหนึ่ง คือการปลุกจิตสำนึกและสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรที่ยังทำนาเคมีปรับเปลี่ยนสู่การทำนาอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน นอกจากนั้น การส่งเสริมให้เกษตรกรมีทักษะด้านการประกอบการผ่านการเรียนรู้ในการวางแผนธุรกิจ เข้าใจกลไกการตลาดและการกำหนดราคา การวิเคราะห์ต้นทุนผลตอบแทน การบริหารความเสี่ยงในธุรกิจ แนวทางดังกล่าวนอกจากจะช่วยยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ข้าวแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรรายย่อยมีต้นทุนการผลิตลดลง มีรายได้เพิ่ม ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจชุมชนและโอกาสการเชื่อมโยงสู่ตลาดสากลได้อีกด้วย

“ปัญหาสำคัญของชาวนา คือ “ราคาผันผวน” ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากปริมาณการผลิตข้าวมีมากกว่าความต้องการ ดังนั้น การแก้ปัญหาที่ต้องแก้ให้ถูกจุด โดยใช้กลไกของระบบธุรกิจข้าวแบบมีส่วนร่วม เริ่มต้นโดยเกษตรกรจะมีส่วนร่วมในการวางแผนการผลิตข้าวมาตรฐานอินทรีย์ IFOAM วางแผนธุรกิจร่วมกับภาคีเพื่อจำหน่ายในตลาดเป้าหมายตั้งแต่ต้นฤดู โดยสร้าง smart farmer ที่สามารถวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต ร่วมกันผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดต้นทุนการผลิตและคิดค่าเสียโอกาสเป็นด้วย เราต้องส่งเสริมให้เกษตรกรรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ชาวนา”

ในระยะแรกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการบางส่วนยังทำนาเคมีอยู่ นักวิจัยจึงต้องติดอาวุธทางปัญญา ให้ความรู้เติมเต็มภูมิปัญญาชาวบ้าน จากนั้นก็สร้างแรงจูงใจ ใส่แนวคิด IBM ตั้งเป้าธุรกิจในพื้นที่ 137 ไร่ ให้ “พี่จูงน้อง” ชักชวนลูกกลุ่มมาทำนาอินทรีย์ ซึ่งการเปลี่ยนความคิดของคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นับเป็นความท้าทายของนักวิจัยและผู้นำเกษตรกรเป็นอย่างมากที่จะให้สมาชิกกลุ่มละวางจากการทำนาประสบการณ์เดิมที่คุ้นเคยกับการใช้สารเคมี หันมาทำเกษตรอินทรีย์ตามยุทธศาสตร์ชาติ เราจึงต้องปลูกจิตสำนึกของชาวนาเพื่อให้ตระหนักถึงพิษภัยจากการบริโภคสารเคมีเพื่อการมีสุขภาพดี

การส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันนั้นนักวิจัยได้พาเกษตรกรไปดูงาน เพื่อการเรียนรู้จากแนวปฏิบัติที่ดี ในการคัดเกรดผลผลิต การถนอมอาหาร แปรรูปผลิตภัณฑ์ การขอรับรองมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา ตลาดเกษตรกรเพื่อเรียนรู้การตลาดและความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการสร้างแบรนด์ “ข้าว IBM ทุ่งทองยั่งยืน” การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การทดสอบตลาดโดยประเมินความคิดเห็นกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคอยู่ในระดับ ดี-ดีมาก อีกทั้งการฝึกทักษะขายสินค้าออนไลน์ผ่านคิวอาร์โค้ด มุ่งสู่การเป็น “เกษตรกร 4.0” อย่างเต็มตัว

ขณะที่ นายปัญญา ใคร่ครวญ เกษตรกรต้นแบบ ต.จรเข้สามพัน และประธานกรรมการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เล่าว่า ผู้บริโภคเป็นส่วนหนึ่งของการผลิต ดังนั้น จึงเกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรในชุมชนเพื่อเดินสู่ปลายทางด้วยหวังที่จะผลิตสินค้าอาหารปลอดภัยแก่ผู้บริโภค โดยมีตลาดเป้าหมายที่ชัดเจนและทำงานแบบมีส่วนร่วม โชคดีที่เราได้ทำงานร่วมกับนักวิจัย ทำให้เราได้เริ่มคิด เริ่มทำ และมองเห็นว่าเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการจะได้เห็นทิศทางที่จะลุกขึ้นมายืน มาเดิน และเชื่อมโยงประสานงานในวิถีของเราให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ในฐานะแกนนำต้องขอบคุณนักวิจัยจากสถาบันวิชาการด้านสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ สกว. ที่ให้โอกาสพวกเราได้ร่วมกันคิด ทำ และประเมินตนเอง

ทั้งนี้ แผนการทำงานในระยะต่อไปของนักวิจัย คือ ส่งเสริมการดำเนินการตามแผนธุรกิจข้าว IBM ให้เป็นจริงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยประสานกับกรมการข้าวเพื่อรับรองมาตรฐาน มกท. ปรับปรุงโครงสร้างและกลไกของวิสาหกิจให้มีขีดความสามารถในการรวมซื้อรวมขาย การสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ให้ชาวนามีส่วนร่วมในการตัดสินใจของตัวเองอย่างชาญฉลาด สร้างนักการตลาดประจำวิสาหกิจที่มีทักษะในการเจรจาต่อรองกับภาคีทางการตลาดที่มีความจริงใจกับเกษตรกร ขณะที่เกษตรกรเองก็ต้องซื่อสัตย์และจริงใจกับผู้บริโภค และที่สำคัญเราจะสนับสนุนให้สร้างศูนย์เรียนรู้มีชีวิต (Living Learning Center) ที่สำนักงานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ทุ่งทองเพื่อการเผยแพร่แนวคิดธุรกิจข้าวแบบมีส่วนร่วม ที่จะช่วยรณรงค์ให้ชาวนาตื่นตัวและหันมาใช้แนวทางการแก้ปัญหาอาชีพอย่างเป็นองค์รวม เพื่อการยืนหยัดในอาชีพอย่างยั่งยืนและสมศักดิ์ศรีในการเป็น “ชาวนา 4.0” อย่างแท้จริง