ผู้เขียน | มติชนออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ จ.ตรัง นายเฉลิม ศรีสุข อายุ 65 ปี และ นางถนอมจิต ศรีสุข อายุ 61 ปี สองสามีภรรยา อยู่บ้านเลขที่ 256 หมู่ที่ 3 ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งมีอาชีพทำสวนยางพารา ประสบปัญหาได้รับความเดือดร้อนอย่างมากหลังจากที่ราคายางพาราตกต่ำอย่างต่อเนื่อง จึงตัดสินใจโค่นต้นยางพาราอายุ 15 ปี ในพื้นที่กว่า 2 ไร่ ซึ่งเป็นยางเปิดกรีดมาประมาณ 8 ปี นำไม้ยางพาราส่วนหนึ่งไปขายหารายได้มาจุนเจือครอบครัว โดยเหลือตอไม้ยางพาราความสูงประมาณ 1.5 – 2 เมตร เพื่อทำเป็นค้างไว้ปลูกต้นเสาวรสที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ และเชื่อว่าผลผลิตจากเสาวรสจะสามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้
นายเฉลิม กล่าวว่า ยางพาราช่วงนี้ไม่มีราคา จึงลองเปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่นบ้าง ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมียางพาราอยู่บนเนื้อที่ประมาณเกือบ 2 ไร่ จึงตัดสินใจโค่นต้นยางเพื่อทำเสา ค้างต้นเสาวรส ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมของตลาด อีกทั้งยางพาราไม่มีราคา จึงเปลี่ยนมาปลูกเสาวรสแทน ซึ่งได้ปลูกไว้ข้างบ้านส่วนหนึ่งเมื่อตอนลมพัดทำให้ค้างเสาวรสล้มลงเกือบทั้งหมด จะยกขึ้นก็ไม่ได้แล้วเพราะต่ำ ตนเองได้หันมาใช้พื้นที่ว่างปลูกต้นเสาวรสมาประมาณปีกว่าๆ โดยได้ซื้อหาพันธุ์มาเอง ทางรัฐบาลไม่ได้มาหนุนเสริมแต่อย่างใด ที่ได้หันมาปลูกต้นเสาวรส เพราะได้รับความนิยมมากขึ้น ผลผลิตที่มีอยู่ตอนนี้ก็มีไม่พอขาย ตนเองจึงตัดสินใจโค่นต้นยางเพื่อมาปลูกต้นเสาวรสแทน
“ได้คิดทำแบบนี้คนแรก โดยการโค่นต้นยางให้เหลือไว้แต่ตอ มีความสูงประมาณ 1.5–2 เมตร เพื่อทำเสาค้างต้นเสาวรส เพราะหากซื้อเสาปูนตกเสาละร้อยกว่าบาท ซึ่งต้องใช้หลายเสาและต้องลงทุนเยอะ จึงยอมโค่นต้นยางพารา ซึ่งเชื่อว่าตอนนี้ปลูกเสาวรสจะดีกว่ากรีดยางพาราแน่นอน เพราะสามารถเก็บเสาวรสขายได้ตลอดแม้จะเข้าช่วงหน้าฝนก็ตาม ซึ่งต่างกับการกรีดยางที่พอฝนตกก็ไม่สามารถกรีดยางได้ อย่างน้อยขายเสาวรสมีรายได้ต่อวัน วันละ 500-1,000 บาท ส่วนกรีดยางพาราในแต่ละวันมีรายได้แค่ 100 บาท เท่านั้น โดยตนเองจะขายเสาวรสอยู่ที่ ราคากิโลกรัมละ 40 บาท ได้ปลูกเสาวรสพันธุ์สีม่วง ประมาณ 200 ต้น นอกจากนี้ จะปลูกเสาวรสแล้ว ยังมีมะม่วงหาวมะนาวโห่ พร้อมเตรียมวางแผนปลูกทุเรียนไว้อีกด้วย” นายเฉลิม กล่าว