ปุ๋ยอินทรีย์ ตรากุญแจ ปุ๋ยคุณภาพดี แห่งแดนอีสาน เหมาะกับพืชทุกชนิด

กากหม้อกรอง หรือฟิลเตอร์เค้ก (Filter Cake) หรือขี้เค้ก เป็นผลผลิตพลอยได้ที่เหลือจากโรงงานผลิตน้ำตาล มีคุณสมบัติเป็นพวกอินทรียสาร สามารถนำไปต่อยอดผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงได้อย่างดี

โรงน้ำตาลบุรีรัมย์ โดย คุณอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธุรกิจผลิตน้ำตาลขนาดใหญ่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะเพิ่มศักยภาพให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย ด้วยการพัฒนา กากหม้อกรอง (Filter Cake) ที่เหลือจากโรงงานผลิตน้ำตาล นำไปต่อยอดผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง แล้วจัดจำหน่ายให้กับเกษตรกรในราคายุติธรรม

ทั้งนี้ เพื่อให้เกษตรกรนำไปใช้ควบคู่กับการส่งเสริม การปรับปรุงบำรุงดิน เป็นการช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย แล้วนำอ้อยที่มีคุณภาพสูงเหล่านั้นส่งคืนสู่โรงน้ำตาลบุรีรัมย์ เพื่อรองรับการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลของ บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ดังคำกล่าวที่ว่า “น้ำตาลสร้างในไร่” พร้อมไปกับการจัดตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ที่ชื่อ “ปุ๋ยตรากุญแจ” ขึ้น เมื่อปี 2554

บริษัท ปุ๋ยตรากุญแจ จำกัด มีพื้นที่ก่อตั้งโรงงานทั้งหมด 89 ไร่ ประกอบกิจการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์เคมี ใช้วัตถุดิบหลักในกระบวนการผลิตคือ “กากหม้อกรอง” หรือ “Filter Cake” ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลของกลุ่มน้ำตาลบุรีรัมย์ มีกำลังการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ จำนวน 100 ตัน ต่อวัน และกำลังการผลิตปุ๋ยเคมีบัลค์เบลนด์ (Bulk Blend) จำนวน 120 ตัน ต่อวัน

กำลังการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อส่งให้เกษตรกร จำนวน 700 ตัน ต่อวัน

ปัจจุบัน มีเกษตรกรจากหลากหลายกลุ่มพืช ได้นำปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจไปทดลองใช้ และได้ผลผลิตจนเป็นที่น่าพอใจ ทำให้ต้องขยายตลาดไปยังพืชกลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากอ้อย เพื่อให้เกษตรกรทุกภาคส่วนได้นำปุ๋ยคุณภาพสูงไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

คุณสมบัติเด่นของปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ คือมีธาตุอาหารที่จำเป็นแก่พืช (NPK) ครบถ้วน มีธาตุอาหารพืชครบ ทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม ช่วยลดโรคที่เกิดจากการขาดธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม

ด้วยคุณสมบัติเด่นจึงปรับปรุงโครงสร้างของดิน เพิ่มอินทรียวัตถุ ช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย ทำให้การระบายน้ำและอากาศในดินได้ดีขึ้น เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำและใช้เวลาในการปลดปล่อยธาตุอาหารพืชของดินได้นานขึ้น

อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงเคมีดิน (pH) ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง (pH) ให้เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของพืช ปรับปรุงคุณภาพของผลิตผล เสริมสร้างผนังเซลล์ของพืช ทำให้พืชแข็งแรง ช่วยให้ขั้วเหนียว บำรุงต้นให้เจริญเติบโต ปรับปรุงคุณภาพของผลิตผล มีน้ำหนักและรสชาติดีขึ้น

คุณนิติพัฒน์ ไตรทิพธำรงโชค ผู้จัดการโรงงาน กล่าวว่าก่อนหน้าที่จะมาตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ได้มีการวิเคราะห์ว่าคุณภาพดินของจังหวัดบุรีรัมย์ที่ส่วนใหญ่เป็นดินทราย มีค่าอินทรียวัตถุไม่ถึง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตามมาตรฐานของกรมวิชาการเกษตรกำหนดว่าควรมีค่าอินทรียวัตถุในดิน ประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์

เหตุผลสำคัญสำหรับการนำปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจเข้าไปใช้ในไร่อ้อยเพื่อต้องการนำไปปรับปรุงคุณภาพดินเพื่อให้มีธาตุอาหารที่สมบูรณ์ช่วยทำให้อ้อยเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้าไปสนับสนุนการใช้พบว่า ชาวไร่อ้อยเริ่มพบการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แล้วหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจกันเพิ่มมากขึ้น

“ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าควรจะนำอินทรีย์มาใส่เติมลงดินเพื่อเป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุ ขณะเดียวกันต้องหาทางให้เกษตรกรเปิดใจยอมรับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ไปพร้อมกัน ทั้งนี้ อินทรียวัตถุที่ใช้ผลิตเป็นปุ๋ยผงจะมีปริมาณไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังมีธาตุอาหาร NPK ครบ” ผู้จัดการโรงงานกล่าว

ปุ๋ยปั้นเม็ด

ผลิตภัณฑ์ปุ๋ยตรากุญแจ มีด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ ปุ๋ยชนิดผง และชนิดอัดเม็ด ทั้งนี้ ปุ๋ยชนิดผง ถือเป็นการจัดการของเสียที่เหลือจากโรงงานน้ำตาล ก็คือ ฟิลเตอร์เค้ก แล้วผ่านเข้าสู่กระบวนการเพื่อทำเป็นผงส่งให้ชาวบ้านที่เป็นกลุ่มปลูกอ้อยในเครือข่ายให้นำไปใช้ในไร่อ้อย เพื่อให้ได้น้ำตาลคุณภาพกลับมาสู่โรงงาน สำหรับปุ๋ยชนิดผงนี้จะต้องใช้ควบคู่ไปกับเครื่องมือที่ทางบริษัทออกแบบเพื่อสะดวกและปลอดภัยต่อเกษตรกรชาวสวน และชาวไร่

ปุ๋ยผง

การผลิต ปุ๋ยอินทรีย์ ชนิดผงมีกระบวนการที่ประกอบด้วยการเริ่มตั้งกองปุ๋ยพร้อมใส่เชื้อจุลินทรีย์ และจัดการ กลับกองทุกๆ เดือน (ประมาณ 6-8 เดือน) จากนั้นนำกากหม้อกรอง (Filter Cake) ที่หมักจนสมบูรณ์ จากลานหมักไปตีร่อน แล้วจึงนำวัตถุดิบต่างๆ เข้ามาผสม เพื่อเพิ่มคุณภาพปุ๋ยอินทรีย์ แล้วจึงนำไปบรรจุใส่กระสอบ

ส่วน ปุ๋ยอัดเม็ด ที่ผ่านกระบวนการผลิตตามมาตรฐานเหมาะกับการนำไปใช้กับกลุ่มพืชสวนครัว ไม้ดอกไม้ประดับ ประกอบด้วยกระบวนการผลิต เริ่มตั้งแต่ตั้งกองปุ๋ยพร้อมใส่เชื้อจุลินทรีย์ แล้วจัดการกลับกองทุกๆ เดือน (ประมาณ 6-8 เดือน) จากนั้นนำกากหม้อกรอง (Filter Cake) ที่หมักจนสมบูรณ์จากลานหมักไปตีร่อน แล้วจึงนำวัตถุดิบต่างๆ เข้ามาผสม เพื่อเพิ่มคุณภาพปุ๋ยอินทรีย์

ภายหลังผสมวัตถุดิบเรียบร้อยจะได้รับน้ำจุลินทรีย์ในขณะที่จานปั้นให้หมุนขึ้นเม็ด แล้วเม็ดปุ๋ยที่ได้จะถูกนำเข้าท่ออบร้อน-เย็น รอบแรก เพื่อลดความชื้น จากนั้นคัดเม็ดรอบแรก โดยคัดขนาดใหญ่ออกไปก่อน จึงนำเม็ดปุ๋ยเข้าท่ออบร้อน-เย็น รอบสอง เพื่อลดความชื้นและให้เม็ดปุ๋ยแข็งตัว จากนั้นให้คัดเม็ดรอบสอง โดยคัดขนาดเล็กและใหญ่เกินมาตรฐานออกไป แล้วจึงบรรจุใส่กระสอบ เพื่อเตรียมจำหน่าย

ลักษณะการทำงานของเครื่อง จะแยก ของดี และของเสีย ห่างกันประมาณ 5 เมตร
วัตถุดิบที่ผ่านการร่อน ต้องผ่านกระบวนการหมักที่สมบูรณ์ ไม่เป็นอันตรายต่อพืชที่จะนำไปใช้
เครื่องร่อนวัตถุดิบใช้ร่อนคัดแยก พลาสติก แก้ว ของมีคม ทุกชนิดออกก่อนที่จะนำมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์

คุณนิติพัฒน์ เผยถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ประการแรกคือ ชาวบ้านยังไม่มีความเข้าใจเรื่องปุ๋ยอินทรีย์อย่างชัดเจน รวมทั้งยังเกิดความไม่แน่ใจ เพราะเคยถูกหลอกมาก่อน จึงมีทัศนคติทางลบต่อปุ๋ยอินทรีย์ ขณะเดียวกันกลับมองเห็นข้อดีของปุ๋ยเคมีที่ช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วทันใจ แล้วให้ผลผลิตได้ดีตามต้องการ จนทำให้เกิดสารเคมีตกค้างในดินเป็นจำนวนมากจนยากกว่าจะแก้ไข

ผู้จัดการโรงงานชี้ถึงจุดเด่นของปุ๋ยตรากุญแจ ว่าอยู่ตรงการเป็นปุ๋ยอินทรีย์แท้ที่นำวัตถุดิบที่มีคุณภาพล้วนๆ มาใช้ จึงพบว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เก็บผลผลิตเมื่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์แล้วจะเห็นผลที่ชัดเจน เพราะมีค่า CCS เพิ่มขึ้น แล้วผลผลิตน้ำหนักต่อไร่ก็เพิ่มขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ทางโรงงานให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ในทุกขั้นตอน จึงส่งตัวอย่างการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ เพื่อให้กรมวิชาการเกษตรตรวจทุกเดือน พร้อมกันนี้ทางโรงงานมีห้องแล็บที่ได้มาตรฐานเพื่อใช้ตรวจสอบวิเคราะห์คุณภาพวัตถุดิบที่ใช้ผลิตปุ๋ยคู่ขนานอยู่ตลอดอย่างสม่ำเสมอ

ตรวจสอบคุณภาพทางเคมี เพื่อวิเคราะห์หาปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในปุ๋ยเคมี เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพปุ๋ยเคมีก่อนส่งถึงมือเกษตรกร

“ขณะเดียวกันในช่วงปรับเปลี่ยนจากเคมีไปเป็นอินทรีย์นั้น ควรให้จำนวนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์มีมากกว่าเคมี แต่ในระยะเริ่มต้นแนะนำเกษตรกรไปว่า ถ้าใช้ปุ๋ยเคมี จำนวน 1 กระสอบ ต่อไร่ ก็ควรลดลงครึ่งหนึ่ง แล้วนำเงินจากการลดปุ๋ยเคมีมาซื้อปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ สัก 1 กระสอบ จึงเป็นการผสมผสาน เพราะพืชอาจยังต้องการเคมีอยู่ แล้วค่อยๆ ปรับเลิกปุ๋ยเคมีแล้วกลับมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาต่อมา” คุณนิติพัฒน์ กล่าว

คุณเอกรัฐ รัตนมงคล ผู้จัดการสำนักงานกล่าวเสริมว่า ในกระบวนการอินทรีย์หรือปุ๋ยอินทรีย์นั้นคนทั่วไปยังไม่ค่อยเข้าใจธรรมชาติของดินหรือจุลินทรีย์มากพอ จึงมองไม่ออกหรือยังไม่เห็นประโยชน์ที่แท้จริงของปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจว่ามีจุดเด่นหรือความจำเป็นอยู่ตรงไหน

อยากจะให้ข้อมูลว่า ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ ถูกผลิตขึ้นมาจากวัตถุดิบหลักจากโมลาสหรือกากน้ำตาลหรือหม้อกรองหรือฟิลเตอร์เค้ก ทั้งนี้วัตถุดิบที่มาจากน้ำตาลจะเป็นอาหารของจุลินทรีย์ ดังนั้น เมื่อใส่ลงไปในดินจะทำให้จุลินทรีย์ในดินเริ่มทำงาน เพราะได้อาหารดี จะมีการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ออกเป็นเท่าทวีคูณอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน จุลินทรีย์เหล่านี้จะมีหน้าที่ไปทำให้แร่ธาตุอาหารที่อยู่ในดินมาปลดปล่อยออกมากับพืช ซึ่งจุดเด่นแบบนี้ไม่มีในปุ๋ยชนิดอื่น จึงถือเป็นความพิเศษของปุ๋ยตรากุญแจ

และด้วยความพิเศษดังกล่าว จึงทำให้ปุ๋ยตรากุญแจมีคุณสมบัติที่เป็นทั้งฮอร์โมน แร่ธาตุ เป็นสารเร่งสี ดังนั้น จึงเหมาะกับพืชทุกชนิด ทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันในกระบวนการจุลินทรีย์นอกจากจะอยู่ในกระสอบแล้วยังทำให้จุลินทรีย์เป็นชนิดบวกที่มีประโยชน์

เนื่องจากจุลินทรีย์ในดินมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ ชนิดเป็นกลาง จำนวน 70 เปอร์เซ็นต์ ชนิดเป็นบวก 20 เปอร์เซ็นต์ และชนิดเป็นโทษ 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จุลินทรีย์ชนิดที่เป็นประโยชน์เมื่อรวมกับชนิดเป็นบวกเข้ากันได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นประโยชน์ต่อพืชอย่างมหาศาล

“การผลิตเกษตรอินทรีย์ในปัจจุบันต้องให้อินทรีย์เป็นพระเอก เพื่อทำให้ระบบอินทรีย์มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ปุ๋ยประเภทที่ขายทั่วไปอย่างปุ๋ยมูลสัตว์อาจมีคุณค่าอยู่ แต่สิ่งที่แตกต่างนี้มีอยู่ในเฉพาะปุ๋ยตรากุญแจเท่านั้น อย่างสโลแกนที่ว่า “ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจไขเคล็ดลับ ปรับปรุงดิน” ดังนั้น จึงทำให้ปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจตอบโจทย์ผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง” ผู้จัดการสำนักงานกล่าว

ขณะที่ คุณเรืองยศ หมื่นมา นักวิชาการและการตลาด กล่าวว่า อยากให้เกษตรกรหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์กัน เพราะโดยธรรมชาติแล้วในดินต้องมีอินทรียวัตถุอยู่ แต่การใช้เคมีมายาวนานทำให้สะสมอยู่ในดินมากจนดินเสื่อมคุณภาพ ปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล แถมยังมีผลผลิตที่ตกต่ำ ยิ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น รายได้ลดลง เกษตรกรขาดทุน

ที่ผ่านมาการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจมีไว้ให้เฉพาะลูกไร่ที่ปลูกอ้อยเท่านั้น แล้วยังไม่ได้มีการเปิดตลาดอย่างเป็นทางการ แต่เนื่องจากภายหลังที่เกษตรกรหลายกลุ่มได้ทดลองนำไปใช้กับงานเกษตรกรรมของตัวเองแล้วพบว่าได้คุณภาพดีเกินคาด ต้องการมีไว้ใช้ตลอดเวลา จึงทำให้ทางบริษัทตัดสินใจผลิตออกมาวางจำหน่ายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะในพื้นที่บุรีรัมย์ก่อน คาดว่าคงวางจำหน่ายทั่วไปในอีกไม่ช้า

“ดังนั้น การปรับเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์จึงเป็นการช่วยเติมธาตุอาหารลงไปในดิน ยิ่งมีการใช้ปริมาณมาก ก็ยิ่งทำให้เพิ่มธาตุอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ จะช่วยสร้างคุณภาพให้ดินกลับมาเหมือนเดิม ด้วยเหตุนี้ปุ๋ยตรากุญแจจึงสามารถตอบโจทย์ให้เกษตรกรได้ทุกกลุ่ม”

ทีมงานคุณภาพ ของ บริษัท ปุ๋ยตรากุญแจ จำกัด

คุณจิรพันธ์ บัวเพชร ฝ่ายควบคุมคุณภาพในฐานะหน่วยงานที่ดูแลมาตรฐานของปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ มองว่าปุ๋ยอินทรีย์เปรียบเสมือนยาวิเศษของดิน เพราะจะช่วยปรับสภาพทำให้ดินมีความชุ่มชื้น สามารถถ่ายเทอากาศได้ดี อันจะช่วยทำให้รากพืชดูดซึมอาหารได้ง่ายและเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งปุ๋ยตรากุญแจนับเป็นผู้ช่วยสำคัญที่จะทำให้ผลผลิตของพี่น้องเกษตรกรมีคุณภาพได้มาตรฐาน แล้วขายได้ราคาดี

ในสภาวะความไม่แน่นอนทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับภาคการเกษตร จนทำให้ไม่สามารถควบคุมผลผลิตที่แน่นอน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างปัญหาต่อรายได้ของเกษตรกรทั่วหน้า ดังนั้น การแสวงหาแนวทางเพื่อลดต้นทุน และความพยายามหาวิธีเพิ่มผลผลิตไปพร้อมกันจึงเป็นแนวทางที่สำคัญต่อภาคเกษตรกรรมในตอนนี้

ปุ๋ยตรากุญแจ จึงนับเป็นทางออกที่ดีที่สุดของพี่น้องเกษตรกร เพราะไม่เพียงท่านจะได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์แท้ที่มีคุณภาพ แต่ยังมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ เพราะบริษัท ปุ๋ยตรากุญแจ จำกัด มีนโยบายที่ชัดเจนด้วยการมุ่งมั่นผลิตปุ๋ยคุณภาพดี เพื่อสนองความต้องการของลูกค้า พัฒนาคุณภาพสินค้า และบริการอย่างต่อเนื่อง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสนใจสั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ตรากุญแจ ติดต่อได้ที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ปุ๋ยตรากุญแจ จำกัด เลขที่ 161 หมู่ที่ 16 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โทรศัพท์ (081) 725-7341, (097) 338-1367