เกษตรกรเฮ! ซีพี รับซื้อผลไม้ช่วยเกษตรกร-เอสเอ็มอี ระบายสินค้า บรรเทาผลผลิตล้นตลาด

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ระบาดหนัก และตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงสุดเพิ่มขึ้นเกิน 2,000 คน ต่อวัน บรรดาโรงคัดบรรจุผลไม้ต่างๆ ในแต่ละพื้นที่ต่างชะลอการรับซื้อ เพราะการส่งออกไปยังต่างประเทศหยุดชะงัก ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาด โดยเฉพาะผลไม้ฤดูกาลซึ่งมีผลผลิตเหลือเป็นจำนวนมาก อีกทั้งในปีนี้มีแนวโน้มว่าผลผลิตจะออกมามาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาผลผลิตถูกส่งออกไปต่างประเทศจำนวนมากและได้ราคาดีโดยเฉพาะทุเรียน มะม่วง มังคุด ลำไย แต่ปีนี้ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการระบาดของโควิด-19 ทำให้การส่งออกผลผลิตไปต่างประเทศประสบปัญหาอีกครั้ง เนื่องจากประเทศผู้นำเข้ามีกำลังการซื้อลดลง รวมทั้งสถานการณ์ในหลายประเทศยังน่าห่วง

นางสาวณัชชาชนก ณ ตะกั่วทุ่ง ผู้จัดการโครงการซีพี เฟรช บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า คนไทยต้องช่วยกันบริโภคผลไม้ในประเทศในภาวะที่โควิดกลับมาระบาดอีกครั้ง ล่าสุดซีพีได้ใช้เครือข่ายค้าปลีกร่วมกับโลตัสและแม็คโคร ช่วยเป็นช่องทางกระจายสินค้าให้กับชาวสวนทุเรียนระบายสินค้า ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแรงใจในการสนับสนุนชาวสวน ด้วยการรับซื้อผลไม้ โดยเฉพาะทุเรียน และกระจายผลผลิตเพื่อไม่ให้เกิดภาวะล้นตลาด ที่ส่งผลให้ราคาสินค้าตกต่ำ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ หวังจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรไทยในสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ให้มีรายได้ และมีช่องทางในการจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาเป็นธรรม

“เกษตร 4.0 ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลบนความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทย เปรียบดั่งทรัพยากรน้ำมัน ที่จะทำให้คนไทย โดยเฉพาะเกษตรกรไทย ชาวสวนไทย ได้รับการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ประเทศที่มีน้ำมัน คนของเขาจะรวย แต่ของเรา อย่ามองข้ามความอุดมสมบูรณ์ เพราะความอุดมสมบูรณ์นี้มีค่าและทำให้คนไทยรวยได้เช่นกัน” ผู้จัดการโครงการซีพี เฟรช กล่าว

ด้าน รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ สถาบันทุเรียนไทย เปิดเผยบทวิเคราะห์ อนาคตทุเรียนไทย : โอกาสหรือความเสี่ยง โดยเทียบสถานการณ์ 10 ปี (ปี 2554-2563) ซึ่งระบุว่า การบริโภคทุเรียนภายในประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับผลผลิตทุเรียนไทย 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 83% (2,028,490 ตัน ในปี 2568) บริโภคในประเทศเพิ่มขึ้น 101.7% (983,817 ตัน ในปี 2568) ส่งออกเพิ่มขึ้น 68.3% (1,044,672 ตัน ในปี 2568) เทียบจากปี 2563 โดยปี 2563 มีสัดส่วนการบริโภคในประเทศ 44% ส่งออก 56% และในปี 2568 จะมีสัดส่วนการบริโภคในประเทศ 48.5% ส่งออก 51.5% ดังนั้น หากมีการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทยในประเทศ ถือเป็นการเพิ่มช่องทาง ลดความเสี่ยงเกษตรกร แทนที่จะพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียว หากมีผลกระทบในการขนส่งระหว่างประเทศ เกษตรกรยังสามารถพึ่งพิงความต้องการของตลาดในประเทศได้

ทั้งนี้ การส่งออกไปยังต่างประเทศ เกษตรกรไทยยังมีความเสี่ยงหลายด้าน ได้แก่ 1.ตลาดใหญ่อย่างจีนอนุญาตให้นำเข้าจากประเทศอื่น ทำให้ประเทศไทยมีคู่แข่งมากขึ้น 2.ไทยขาดระบบตรวจสอบย้อนกลับ 3.ทุเรียนอ่อน และเครื่องมือในการตรวจขาดประสิทธิภาพ 4.จีนตรวจสอบสินค้านำเข้าอย่างเข้มงวดมากขึ้น 5.จีนมีการปลูกทุเรียน และพัฒนาสายพันธุ์ 6.ประเทศไทยเน้นส่งออกทุเรียนสด 7.ขาดแพ็กเกจจิ้งในการยืดอายุทุเรียนสด 8.สวมสิทธิ์ทุเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน 9.ตลาดถูกควบคุมโดยพ่อค้าคนกลางหลายทอด ทำให้การที่จะส่งเสริมในการรับซื้อสินค้ามาสู่ช่องทางค้าปลีกจากเกษตรกรโดยตรง ถือเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร และยังช่วยลดภาระ ในช่วงสินค้าล้นตลาดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การให้ความรู้ในการพัฒนาสายพันธุ์ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเกษตรกรไทยในการแข่งขันระยะยาว ซึ่งต้องมีการทำงานด้านการวิจัยและพัฒนามากขึ้นต่อไป