เผยแพร่ |
---|
สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางฯ พร้อมภาคีเครือข่ายรวมพลังจัดงาน “มหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023” ผลักดันพืชยางพาราเป็นคลัสเตอร์ที่ 6 ในแผนฯ EEC ชูยางพาราเป็นพืชวาระแห่งชาติ ก้าวสู่ศูนย์กลางยางพารา ( Hub) ในเวทีการค้าโลก
เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2566 สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย สมาคมนักวิชาการยางและถุงมือยาง และ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ พร้อมเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ร่วมกันจัดงาน “มหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023” ระหว่าง วันที่ 22 – 26 ก.พ. พ.ศ. 2566 ณ ตลาดกลางยางพาราภาคตะวันออก ตำบลชุมแสง อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง โดยมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้
การจัดงานครั้งนี้ มีเป้าหมาย ผลักดันพืชยางพาราเป็นคลัสเตอร์ที่ 6 ในแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พ.ศ. 2566 – 2570 หวังกระตุ้นวงการยางพาราทั้งระบบพัฒนาสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตยางพาราสนองตอบความต้องการของ ตลาดสินค้าเกษตร เกิดการกระจายรายได้สู่เกษตรกร ภายใต้ขับเคลื่อน “โครงการเกษตรปลอดภัยครัวไทยสู่ครัวโลก” และ “ระบบเกษตรสุขภาพรักษ์สิ่งแวดล้อม” หวังแก้ปัญหาภาพรวมเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ดร. อุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวสวนยาง เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพทางด้านการเกษตร โดยเฉพาะยางพารา ประเทศไทยมีผลผลิตยางพารามากเป็นอันดับหนึ่งของโลก จึงได้เปรียบด้านวัตถุดิบยางพาราป้อนโรงงานอุตสาหกรรมยางพารา กองการยาง กรมวิชาการเกษตร ระบุว่า ประเทศไทยส่งออกยางพารา เป็นอันดับหนึ่งของโลก มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญทำรายได้เข้าประเทศ เป็นอันดับหนึ่งในทุกๆ ปี ในปี พ.ศ.2564 ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตยางพารา 5,168,837 ตัน ส่งออกในรูปยางดิบ 4,176,529 ตัน คิดเป็นร้อยละ 80.80 ของผลผลิตยางพารา และใช้ภายในประเทศเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ 925,808 ตัน คิดเป็นร้อยละ 17.91 ของผลผลิตยางพารา มีมูลค่าการส่งออกยางพาราดิบ 175,977 ล้านบาท และส่งออกในรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา 379,424ล้านบาท”
จากข้อมูลดังกล่าว จำเป็นต้องสร้างกลยุทธ์กระตุ้นนักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศไทย และกระตุ้นการใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และ สมาคมนักวิชาการยางและถุงมือยาง จึงได้ร่วมมือกัน จัดงาน “งานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023” ขึ้น ภายใต้การสนับสนุนของเครือข่ายสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางพารา วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs.) หวังกระตุ้นให้นักลงทุนต่างประเทศได้มองเห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรม SMEs ผลิตภัณฑ์ยางพารารายย่อย เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้ความสำคัญด้านวิจัยและพัฒนา (R & D) การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อแก้ปัญหาจุดอ่อนในภาคอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารา เป็นการจับคู่ธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารากับผู้สนใจร่วมลงทุน เน้นใช้การตลาดนำการผลิต(Demand Pull) เชื่อมโยงภาคเกษตรกรรมกับภาคอุตสาหกรรมให้เป็นระบบเดียวกัน เน้นการประยุกต์และพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรอุตสาหกรรม ตอบสนองความต้องการของตลาด ซึ่งเป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2565
การจัดงานในครั้งนี้ ประกอบด้วยนิทรรศการของหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และร้านค้าเอกชน ผู้ร่วมงานสามารถรับฟังเสวนาวิชาการ จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ แปรรูปผลผลิตการเกษตรสู่ภาคอุตสาหกรรม มุ่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตามที่ตลาดโลกต้องการ เชื่อมโยงการพัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ( EEC )ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรีด้านการเกษตร เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2565 นอกจากนี้ ยังมีการออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางพารา สินค้าอุปโภค – บริโภค และปัจจัยการผลิตทางการเกษตรและสินค้าอื่นๆ ตลอดจนเวทีการแสดงของศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียงจากค่ายต่าง ๆ มาร่วมด้วยช่วยกันภายในงาน ดังกล่าว
“การจัดงานมหกรรมยางพาราและพืชเศรษฐกิจ EEC 2023 ครั้งนี้ ผมขอกราบขอขอบพระคุณเอกชน ห้างร้าน ต่างๆ ทุกท่านที่ได้ “ร่วมด้วย ช่วยกัน” สนับสนุนงบประมาณจัดงานครั้งนี้ซึ่งเกิดจากแนวความคิดของสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย สมาคมนักวิชาการยางและถุงมือยาง ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ทำให้เกิดพลังสำคัญครั้งใหญ่ รวมทั้ง หน่วยงานภายในจังหวัดระยอง และหน่วยงานภายนอกจังหวัด เข้าร่วมจัดแสดงนิทรรศการทางวิชาการ การแสดงมหรสพ – เวที เพื่อให้ความบันเทิง การจำหน่ายสินค้าอุปโภค -บริโภคต่าง ๆ อาทิ ตลาดนัดสะพานพุทธ และอื่น ๆ
การจัดงานครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญคือ ผลักดันพืชยางพาราให้เป็นคลัสเตอร์ที่ 6 ในแผนปฏิบัติการพัฒนาการเกษตรเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พ.ศ. 2566 – 2570 ปี ผมได้ยื่นหนังสือถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อ วันที่ 1 ก.พ. พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา รวมทั้งขับเคลื่อนการจับคู่ธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารากับผู้สนใจร่วมลงทุน เน้นใช้การตลาดนำการผลิต (Demand Pull) เชื่อมโยงภาคการเกษตรกับภาคอุตสาหกรรม ให้เป็นระบบเดียวกันโดยเน้นการประยุกต์และพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรอุตสาหกรรม ตอบสนองความต้องการของตลาด เป็นครั้งแรกในงานนี้ พร้อมนำเสนอการเชื่อมโยงการนำนวัตกรรมการตรวจวัดคาร์บอนเครดิตในสวนยาง กับ บริษัทวารุณา ในเครือปตท. และบริษัท SCGC ในเครือปูนซีเมนต์ไทย พื้นที่สวนยาง จ.ระยองร่วมกับการยางแห่งประเทศไทย นำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิต สร้างรายได้เสริมแก่เกษตรกรชาวสวนยาง นิทรรศการ และ การอบรมความรู้ “เรื่องระบบเกษตรสุขภาพรักษ์สิ่งแวดล้อม” เป็นผลงานวิจัยพัฒนาสร้างความมั่นคงทางอาหาร ของ ทีมนักวิจัยวิทยาลัยบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ตอบโจทย์แนวคิด BCG. Model และ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ( SDGs Model ) ตามกรอบเป้าหมายของสหประชาชาติ( UN.) ร่วมกับเครือข่ายจังหวัดระยอง และ ขอสนับสนุนทุนการศึกษาแลกเปลี่ยนไทย – จีน ให้กับลูกหลานเกษตรกร ฯลฯ
“ การจัดงานครั้งนี้ ผมหวังว่าจะได้รับการตอบรับและการผลักดันจากรัฐบาล เกิดการเชื่อมโยงระหว่างภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรมนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพาราอย่างเป็นระบบ สามารถดึงนักลงทุนอุตสาหกรรม และ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม( SMEs.) ทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาร่วมลงทุนอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก( EEC.) เพิ่มขึ้น สร้างงาน สร้างอาชีพเสริมแก่เกษตรกรชาวสวนยาง และ พืชเศรษฐกิจชนิดต่างๆ ของจังหวัดระยอง และ ภาคตะวันออก และมุ่งหวังให้รัฐบาลเห็นความสำคัญพืชเศรษฐกิจยางพาราของประเทศไทย พร้อมทั้ง ผลักดันให้ “ยางพาราเป็นพืชวาระแห่งชาติ ก้าวเป็นศูนย์กลางยางพารา ( Hub) ของโลก เกิดความมั่นคงด้านอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารา ผลักดันระบบเกษตรสุขภาพรักษ์สิ่งแวดล้อม ให้เป็นวาระประเทศไทย มุ่งเป้าสร้างความมั่นคงทางอาหาร ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ขับเคลื่อนการพัฒนายางพาราและพืชเศรษฐกิจภาคตะวันออกในองค์รวมให้เกิดความยั่งยืนต่อไป” ดร. อุทัย สอนหลักทรัพย์ กล่าวทิ้งท้าย