อย่างน้อยก็มีข้าวกิน! ชาวไร่มันฯโคราช หันทำข้าวไร่ หนีแล้ง-น้ำท่วม เชื่อปีหน้าข้าวแพง

หลังจากราคามันสำปะหลังกลับมาตกต่ำและเกิดปัญหาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคใบด่าง ที่กำลังลุกลามอยู่ในขณะนี้ รวมไปถึงปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทำให้นาข้าวของเกษตรกรในภาคอีสานส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายจำนวนมาก ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังบางส่วนในพื้นที่ตำบลตะแบกบาน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เริ่มหันมาทำข้าวไร่ แทนการปลูกมันสำปะหลัง เพื่อหวังที่จะมีข้าวไว้กิน และเชื่อว่า ข้าวในปีหน้าจะมีราคาที่แพงขึ้นจากผลกระทบปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง จนอาจเกิดวิกฤติขาดแคลนข้าว

นายช่ำ ชอนครบุรี อายุ 48 ปี ชาวบ้านบ้านหนองจาน ต.ตะแบกบาน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ตนเลือกปรับพื้นที่ที่เคยปลูกมันสำปะหลังรวมกว่า 10 ไร่ มาปลูกพืชผสมผสาน เช่น ถั่วดิน มะละกอ ผักชี รวมถึง ข้าวไร่ เนื่องจากปีนี้มันสำปะหลังมีการแพร่ระบาดของโรคใบด่างสร้างความเสียหาย อีกทั้งราคาก็ตกต่ำ จึงต้องปรับเปลี่ยนปลูกพืชที่อายุสั้น และหมุนเวียนการเก็บเกี่ยวกันไปเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม

โดยเลือกทดลองปลูกข้าวไร่เพิ่มเติมขึ้นมา 4 ไร่ เนื่องจากเห็นว่า พื้นที่ของตนมีน้ำใต้ดินให้ใช้ทำการเกษตรตลอดทั้งปี และมองว่า สถานการณ์ภัยแล้งและน้ำท่วมในพื้นที่ภาคอีสานปีนี้รุนแรง จนทำให้นาข้าวได้รับความเสียหายกันเป็นจำนวนมาก จึงคิดว่า จะต้องปลูกข้าวเอาไว้เพื่อใช้รับประทานในครอบครัว เพราะปีหน้า ข้าวอาจจะขาดแคลนและมีราคาแพงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีเพื่อนเกษตรกรหลายรายทดลองปลูกแล้วก็ได้ผลดี

ด้านนายสุเวท บุญสำโรง อายุ 61 ปี ชาวบ้านบ้านหนองโค ต.ตะแบกบาน ซึ่งเป็นเกษตรกรอีกรายหนึ่งที่หันมาปลูกข้าวไร่จำนวน 2 ไร่ มานาน 5 ปีแล้ว กล่าวว่า ตนให้ความสนใจที่จะปลูกข้าวไร่แทนการปลูกมันสำปะหลังมานานแล้ว และได้ทดลองปลูกจนได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ

ซึ่งวิธีปลูกก็ไม่ได้ยุ่งยาก โดยได้ขอซื้อเมล็ดพันธุ์จากเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงมาทดลองปลูก เป็นพันธุ์ที่รู้จักกันในชื่อ “ข้าวหอมมะลิแม้ว” แล้วปลูกด้วยระบบน้ำหยด เริ่มต้นจาก 4 กิโลกรัม เมื่อได้ผลผลิตก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้นทุนพันธุ์ข้าว 1 กิโลกรัม จะได้ข้าวประมาณ 4-5 กระสอบปุ๋ย ปลูก 1 ไร่ ต้องใช้พันธุ์ข้าวประมาณ 6 กิโลกรัม

ระยะการหยอดข้าว ต้องห่างระหว่างกอข้าว คือ 35 X 60 เซนติเมตร จะได้ข้าวเปลือกประมาณ 25 – 30 กระสอบปุ๋ย ส่วนการดูแลเน้นอย่าให้ต้นข้าวขาดความชุ่มชื้น รดน้ำให้ชุ่ม วันเว้นวัน อัดน้ำช่วงออกรวงวันต่อวัน พอรวงแก่ก็หยุดให้น้ำ หมั่นดูแลวัชพืช อย่างสม่ำเสมอ

ซึ่งผลผลิตข้าวเปลือกหนึ่งกระสอบปุ๋ยน้ำหนักจะอยู่ที่ประมาณ 30 กิโลกรัม เมื่อสีเป็นข้าวเปลือกแล้วก็จะได้กระสอบละประมาณ 25 กิโลกรัม ปลูกเพียง 1 ไร่ ก็จะได้ข้าวไว้กินอย่างเพียงพอในครอบครัว และพอมีเหลือจำหน่ายเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วย