ผู้เขียน | ธาวิดา ศิริสัมพันธ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
กระแสรักสุขภาพยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง หากเกษตรกรท่านใดอยากจะสร้างรายได้และช่องทางการตลาดเพิ่ม การทำเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรปลอดสารพิษ ถือเป็นเรื่องที่ตอบโจทย์ เพราะไม่เพียงแต่ดีต่อสุขภาพของตัวเอง แต่ยังดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค และที่สำคัญคือ สินค้าที่เป็นเกษตรอินทรีย์จะขายได้ราคาดี และเป็นที่ต้องการของตลาด สามารถกำหนดราคาขายได้เอง ซึ่งการเกษตรที่ใช้สารเคมีไม่สามารถทำได้
คุณสำราญ แคยิหวา อดีตประธานยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์ 2 สมัย อยู่บ้านเลขที่ 177 หมู่ที่ 3 ตำบลเขาขาว อำเภอละงู จังหวัดสตูล เล่าว่า จากเดิมตนมีอาชีพเป็นเกษตรกร ทำสวนยางมาก่อน แต่เลิกทำสวนยางแล้วหันมาทำไม้ผลชนิดอื่นเพราะมีแรงจูงใจ
จากการที่ชอบไปเยี่ยมชมสวนของคนอื่น ได้เห็นวิธีการทำและการแก้ปัญหาของเขาแล้ว รู้สึกว่าชอบ เพราะนิสัยส่วนตัวเป็นคนที่ชื่นชอบแก้ปัญหา ชอบคิดอย่างไม่หยุดนิ่ง อย่างปลูกพืชก็จะมีโรคแมลงหรือปัญหาต่างๆ ให้หาวิธีแก้ แต่กับยางพาราทำอะไรเดิมๆ กรีดยางก็กรีดอยู่แบบนั้น ที่เดิมไม่ได้ออกไปเจออะไรใหม่ๆ จึงเกิดแรงจูงใจที่จะไปทำไม้ผล และพืชที่เลือกปลูกหลังจากเลิกกรีดยางคือ มะละกอ ด้วยเหตุผลที่มะละกอสามารถมีผลผลิตให้เก็บขายได้ทุกวันไม่ใช่ออกตามฤดู ยิ่งถ้าดูแลดีๆ ทำให้ต้นสมบูรณ์ แสดงว่ารายได้จะเกิดขึ้นทุกวัน หรือจะเก็บตามรอบ 4 วันครั้ง ก็ทำได้

ยึดหลักศาสตร์พระราชา
เริ่มต้นทำจากสิ่งที่ตัวเองรัก
คุณสำราญ บอกว่า ตนเริ่มปลูกมะละกอเป็นพืชหลักสร้างรายได้ครั้งแรกตอน ปี 2558 เริ่มจากการปลูกมะละกอพันธุ์กินดิบก่อน คือปลูกมะละกอพันธุ์แขกดำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปพฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป จากเคยขายพันธุ์กินดิบได้ดี ก็ขายได้น้อยลง แต่ความนิยมบริโภคมะละกอกินสุกมีมากขึ้น จึงต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ หันมาปลูกมะละกอกินผลสุกแทน ซึ่งมะละกอพันธุ์กินสุกที่นิยมปลูกมี 2 สายพันธุ์ คือ ฮอลแลนด์ และเรดเลดี้ แต่ที่สวนเลือกปลูกมะละกอฮอลแลนด์ สายพันธุ์ปลักไม้ลาย เป็นสายพันธุ์นำเข้าจากมาเลเซีย มีจุดเด่นที่เปลือกบาง เนื้อแน่น รสชาติหวาน เนื้อข้างในสีแดงแจ๊ด และค่อนข้างเป็นพันธุ์ที่หายาก จะมีปลูกแค่เฉพาะในจังหวัดสตูลเท่านั้น และอีกข้อดีคือ สามารถขยายพันธุ์ปลูกต่อ06เพิ่มได้ มาถึงปัจจุบันนี้ก็ปลูกมะละกอไป 3 รุ่นแล้ว เริ่มเก็บผลผลิตครั้งแรก ตอนปี 2559 ปลูกบนพื้นที่ 3 ไร่ และมีการนำศาสตร์พระราชาเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับปรุงใช้ภายในสวน คือจะหมุนเวียนวัตถุดิบในสวนมาลดต้นทุน เพิ่มรายได้ โดยการปลูก
- กล้วยหอม และกล้วยเล็บมือนาง แล้วใช้ต้นกล้วยมาทำน้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วย ใช้แทนปุ๋ย ส่วนผลก็เก็บขายได้อีก รสชาติกล้วยของที่สวนดีมาก เพราะไม่เคยใช้สารเคมีในการดูแล
- ฝรั่งอินทรีย์
- มะละกอฮอลแลนด์ สายพันธุ์ปักไม้ลาย ราคาดี เป็นที่ต้องการของตลาด

เทคนิคการปลูกมะละกอฮอลแลนด์
ให้มีผลผลิตเก็บขายได้ทุก 4 วัน
เริ่มจาก การเตรียมดิน… ไถพรวน 3-4 ครั้ง ให้ดินร่วน แต่ถ้าจะให้ดีในระยะที่ไถให้หว่านขี้ไก่แกลบ เขาไปช่วยให้ดินมีความร่วนซุย แล้วยกร่องให้เป็นคูน้ำ โดยระยะวางแนวให้ได้ 1 แถว 3×3 ระยะนี้เป็นระยะที่เหมาะสม ช่วยให้ใบไม่ทับซ้อนกัน
ขุดหลุม… ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร หรือ 1 ศอก รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกขี้วัว หรือขี้ไก่ แล้วแต่ความสะดวก ซึ่งในสวนจะใช้ขี้วัว เพราะว่าในท้องถิ่นมีวัวเยอะ จะให้เด็กๆ แถวบ้านเก็บตามท้องนาเอามาขาย ที่สวนจะรับซื้อไว้เอง
การเพาะกล้า… ใช้เวลาการเพาะ 45 วัน 1 ถุง เพาะ 3 ต้น เพื่อการคัดแยกเพศของมะละกอ หลังจากนั้นนำลงแปลงปลูก เมื่อครบ 3 เดือน ดอกจะออกมาให้เห็น ก็สามารถคัดเพศมะละกอได้ ถ้ามีต้นสมบูรณ์เพศเกิดมา 2 ต้น จะใช้วิธีง้างกิ่งออกให้ห่างกัน หรือถ้าชิดกันเกินไปก็จะใช้วิธีตอนกิ่งไปขยายปลูกเพิ่ม
การใส่ปุ๋ย… แนะนำสำหรับท่านที่ปลูกแบบเคมี ช่วงดอกเริ่มออกให้ใส่ปุ๋ย สูตรเสมอ 15-15-15 เข้าไปนิดหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้ต้นเจริญงอกงามได้เร็วขึ้น แต่ที่สวนปลูกแบบอินทรีย์ จะใช้น้ำหมักเข้าไปทดแทนส่วนตรงนี้

วิธีการใส่ให้ดูที่ใบ ไม่ได้ใส่ที่โคนต้น เพราะจะทำให้โคนเน่า ต้องใส่ปุ๋ยให้ได้ระยะทางใบ และมีการใช้ฮอร์โมนไข่มาใช้พ่นด้วย ปริมาณการใส่ปุ๋ยคอก 1 ต้น ใส่ไปทีเดียว 1 ถัง พืชจะกินได้นาน การให้ปุ๋ยจะมองที่สีของใบ ถ้าใบเหลืองหมายถึงพืชต้องการอาหารแล้วนะ แต่ถ้าใบยังเขียวก็ยังไม่ต้องให้
รดน้ำ… เช้า-เย็น ต่อต้น ต่อครั้ง รดประมาณ 10 ลิตร แต่ให้ดูพื้นดินประกอบด้วยว่าแฉะไปไหม ถ้าแฉะรากจะเปื่อย มะละกอไม่ชอบน้ำแฉะ แต่จะชอบน้ำปริมาณที่พอดี
ระยะ 4 เดือนแรกตอนติดดอก เป็นอะไรที่ต้องดูแลใส่ปุ๋ยรดน้ำให้สม่ำเสมอ ผลผลิตจะเริ่มติดช่วง 4 เดือน เริ่มเก็บผลผลิตได้ตอนอายุ 7 เดือน แล้วหลังจากนั้นก็สามารถเก็บผลผลิตได้ตลอดเลย นี่เป็นอีกแรงจูงใจที่ทำให้หันมาปลูกมะละกอ
โรคแมลง… มะละกอจะมีโรคที่น่ากลัวคือ โรคใบด่างจุดวงแหวน และโรคแอนแทรคโนส ชาวบ้านมักเข้าใจผิดระหว่างโรคใบด่างจุดวงแหวน กับโรคแอนแทรคโนส ซึ่งแถวบ้านส่วนใหญ่ที่เจอโรคจะเป็นแอนแทรคโนส ไม่ใช่ใบด่างจุดวงแหวน แต่ถ้าเป็นโรคใบด่างจุดวงแหวน สังเกตง่ายๆ ยอดจะไม่โตและหงิก ให้เผาทำลายทิ้งได้เลย แต่ถ้าเป็นโรคแอนแทรคโนสถ้าเกษตรกรดูแลมะละกอให้ต้นสมบูรณ์แข็งแรงจะมีภูมิคุ้มกันโรคอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดขึ้นมาจะไม่ถึงขั้นต้องเผาทำลายทิ้ง อาจจะต้องใช้สารชีวภัณฑ์เข้ามาช่วย
ใช้พลาสติกคลุม… ที่ลูกจะทำให้ผิวของมะละกอสวย และช่วยป้องกันแมลงวันทองเข้ามาชอนไชมะละกอให้เกิดความเสียหายได้ และอีกวิธีคือ ใช้ถุงพลาสติกคลุมโคนต้น ช่วยป้องกันหอยทากกัดกินลำต้นได้
ผลผลิต… มะละกอถือเป็นพืชที่สร้างรายได้แบบคุ้มค่า มะละกอ 1 ต้น เก็บได้ 4 ลูก ต่อ 4 วัน น้ำหนักเฉลี่ย 8 ขีด ถึง 2 กิโลกรัม ต่อลูก 1 ไร่ ปลูกได้ 140 ต้น ปลูก 3 ไร่ สรุปเป็นรายได้ต่อ 4 วัน คิดเป็นเงิน 14,000-15,000 บาท คิดเป็นรายได้ต่อเดือนจะสูงพอสมควร ซึ่งเมื่อเทียบกับต้นทุนแล้วแทบไม่ได้เสียอะไรเลย ผลผลิตที่เสียหายจากแมลงเจาะหรือเป็นโรคราน้ำค้าง ก็สามารถเก็บมาทำปุ๋ยหมักไว้ใช้ดูแลพืชได้ต่อ

สูตรทำปุ๋ยหมักไว้ใช้เองภายในสวน
ช่วยมะละกอผลดก
คุณสำราญ บอกว่า สาเหตุที่ทำให้ผลผลิตดก เก็บขายได้ทุก 4 วัน ส่วนหนึ่งมาจากการใช้ปุ๋ยน้ำหมักที่ทำเอง ส่วนผสมมีดังนี้
- มะละกอที่ช้ำเสียหายจากการโดนแมลงกัดกิน 20 กิโลกรัม
- พด.2 ที่ขอจากกรมพัฒนาที่ดิน 1 ห่อ
- กากน้ำตาล 5 ลิตร
- น้ำเปล่า ใส่ไม่มาก ปุ๋ยหมักต้องมีความข้น
ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ใส่ถังหมักปิดฝา หมักทิ้งไว้ 45 วัน น้ำหมักจะเริ่มขึ้นยีสต์เป็นสีขาว ก็เอามาใช้ได้แล้ว
แต่สำหรับใครที่อยากเพิ่มไนโตรเจนให้กับพืชมีใบเขียว สร้างต้นให้สมบูรณ์ ให้ใช้สูตรดังต่อไปนี้
- หัวปลาที่เหลือทิ้งจากแม่ค้าในตลาด
- พด.2 ที่ขอจากกรมพัฒนาที่ดิน 1 ห่อ
- กากน้ำตาลในส่วนนี้ต้องใช้เยอะหน่อย ถ้าใส่หัวปลา 10 กิโลกรัม ก็ต้องใช้กากน้ำตาล 10 ลิตร และน้ำเปล่า 1 ส่วน สาเหตุที่ต้องใช้กากน้ำตาลเยอะ เพราะในกรณีของปลา ถ้ากากน้ำตาลน้อยจะส่งกลิ่นเหม็น สร้างความรำคาญให้เพื่อนบ้าน

ปลูกมะละกออินทรีย์ ดีอย่างไร
คุณนิภาพร แคยิหวา ภรรยาของคุณสำราญ บอกเล่าประสบการณ์การตลาดของมะละกอที่ผ่านมาว่า ถ้ามองเรื่องตลาดมันไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด เพราะคนยังปลูกได้น้อย มะละกอถือเป็นพืชปราบเซียน ปลูกยาก และแหล่งที่ปลูกก็หายาก เพราะบางที่น้ำท่วม บางที่ไม่มีน้ำ มันเหมาะกับพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ดินร่วนซุย แต่ถ้าทำได้ถือว่ามะละกอเป็นพืชที่สร้างรายได้ค่อนข้างดี ยิ่งถ้าปลูกแบบอินทรีย์แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องราคาและการตลาด เพราะในปัจจุบันกลุ่มคนรักสุขภาพเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ตลาดก็จะกว้างมากขึ้น แต่คนปลูกแบบอินทรีย์ยังมีน้อยอยู่ นั่นก็หมายความว่า เกษตรกรที่ปลูกแบบอินทรีย์จะเป็นสินค้าที่มีค่าและหายาก ราคาจะสูง เจ้าของสวนสามารถกำหนดราคาได้เอง อย่างทุกวันนี้มะละกอที่สวนริมคลองของเธอตั้งราคาขายหน้าสวนอยู่ที่ กิโลกรัมละ 40 บาท แต่ถ้าออกบู๊ธตามงานต่างๆ จะขาย กิโลกรัมละ 50-60 บาท ถือเป็นราคาที่สูง แต่ยังขายได้ดี เพราะสินค้าได้คุณภาพและปลอดภัย ตลาดส่งมีหลายช่องทาง

- ส่งที่โรงพยาบาลละงู กิโลกรัมละ 40 บาท ซึ่งยังมีโรงพยาบาลอีกหลายแห่งที่ต้องการมะละกอของที่สวน แต่เธอไม่สามารถผลิตได้ทัน
- ตลาดค้าปลีก-ส่ง ผลไม้ในตัวเมือง เธอและคุณสำราญมีหน้าที่เก็บออกจากสวนไปจอดให้แม่ค้าที่รับซื้อประจำ ที่เหลือทางร้านรับซื้อเป็นคนชั่ง นับกิโลให้ เธอมีหน้าที่คอยรับเงินอย่างเดียว
- ออกบู๊ธตามงานเกษตรของหน่วยงานราชการ ในส่วนของราชการมักจะนำผลผลิตของที่สวนไปเป็นผลไม้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง สั่งไปจัดกระเช้า หรือสั่งไปเป็นของเบรกงานประชุมบ้าง
- ช่องทางออนไลน์ จะมีลูกค้าทักมาตลอดว่าวันนี้ผ่านทางนี้ไหม ถ้าผ่านลูกค้าก็สั่งผ่านเฟซบุ๊ก แล้วให้แวะส่งที่บ้าน แต่กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ใช้โชคช่วยอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องใช้ความจริงใจและความซื่อสัตย์ จะไปบอกปากเปล่าว่าผลผลิตที่สวนเป็นอินทรีย์อย่างเดียวไม่ได้ ซึ่งภายในสวนมีฐานการเรียนรู้ที่ชัดเจน ใครได้มาที่สวนจะเห็นและเกิดความประทับใจ เกิดความเชื่อมั่น ว่าผลผลิตจากสวนนี้ผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง

ฝากไว้ให้คิด
คุณสำราญ และ คุณนิภาพร ฝากข้อคิดว่า การประกอบกิจการหรือธุรกิจต่างๆ ต้องมีการวางแผนที่ดี ดังคำที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ” ที่สวนขายผลผลิตดีก็จริง แต่ถ้าถามว่ามีแผนจะขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มไหม บอกเลยว่า ยังไม่มี เพราะที่สวนจะยึดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาตลอด ทำเท่าที่ไหว และเมื่อเกิดปัญหาพลิกล็อกเกิดโรคแมลง หรือวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมา เราต้องสร้างภูมิคุ้มกันตัวเองไว้ก่อน ให้ทุกคนเริ่มทำจากจุดเล็ก เริ่มจากสิ่งที่ตัวเองชอบ และหาจุดยืนของตัวเองให้เจอ ทำเกษตรไม่ต้องทำเยอะ ไม่ต้องปลูกผักทีเดียว 5-7 อย่าง ปลูกแค่ 2 อย่าง ก็พอ เพื่อให้ได้ผล เพราะถ้าปลูกเยอะ ก็ไม่สามารถที่จะเรียนรู้ในชนิดของผักได้ทั้งหมด จำเป็นต้องมีจุดเด่นและชัดเจน ว่าเรามีความสามารถและความรู้เรื่องไหน และเชื่อว่าถ้าทุกคนหาจุดยืนของตัวเองได้ ก็ประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก
สนใจสอบถามข้อมูล หรืออยากเข้ามาเรียนรู้ที่ศูนย์บ่มเพาะเกษตรกรรุ่นใหม่ จังหวัดสตูล สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 081-609-6986



วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563