ปลูกข้าวโพดฝักอ่อน 2 ไร่ครึ่ง สร้างรายได้ 40,000 บาท ในเวลา 2 เดือน เทคนิคเพิ่มผลผลิตด้วยน้ำหมักรกหมู

“ข้าวโพดฝักอ่อน” พืชสร้างรายได้งาม แต่หลายคนมองข้าม ต้นทุนต่ำ ปลูกได้ตลอดทั้งปี เก็บขายทำเงินไว

คุณรำเพย เทียมเมฆา หรือ พี่ดา อยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 12 ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เกษตรกรสาวคนเก่งอดีตพนังงานปั๊มผู้ไม่ย่อท้อ เรียนจบ กศน. หันเอาดีด้านการเกษตร โดยเริ่มจากการช่วยแม่ปลูกผัก ทำไร่ข้าวโพด จนพัฒนามาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวนานกว่า 30 ปี ปลูกเอง หักเอง ขายเอง เริ่มจากแนวคิดที่จะทำเกษตรพอเพียง ปลูกผักสวนครัวไว้กินเองที่บ้านก่อน หวังว่าให้ในทุกวันมีกิน เมื่อทำงานเหนื่อยกลับมาบ้านก็ไม่ต้องออกไปซื้อกับข้าวที่ตลาด เพียงแค่เปิดประตูหลังบ้านมาก็เจอผักสวนครัวที่ปลูกไว้เลย มีของในครัวนำมาประกอบอาหารโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน อันนี้คือจุดยืนสำคัญของเธอ ใช้เงินให้น้อยที่สุด ทุกอย่างมีอยู่ในบ้าน ไม่ได้หวังกำไรมากมาย ทำไปเรื่อยๆ ไม่อาศัยทฤษฎี ไม่มีสูตรที่ตายตัว ต้องเรียนผิดเรียนถูก การทำเกษตรปลูกพืชผักไม่มีอะไรที่ตายตัว อย่างเช่น สูตรน้ำหมักที่ทำเองแล้วได้ผลดี พืชเจริญงอกงาม ชาวบ้านที่พบเห็นจะเข้ามาถามสูตร แต่บางทีสูตรที่ใช้ไม่ได้เหมาะกับทุกพื้นที่ หรือบางที่มีโรคแมลงไม่เหมือนกัน ก็ต้องต่างเรียนรู้ดัดแปลงให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของตัวเองต่อไป

คุณรำเพย เทียมเมฆา หรือ พี่ดา

ปลูกข้าวโพดฝักอ่อน 2 ไร่ครึ่ง
สร้างรายได้ 40,000 บาท ในเวลา 2 เดือน

พี่ดา บอกว่า การปลูกข้าวโพดฝักอ่อนเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ตลอดทั้งปี เป็นพืชหมุนเวียน ปลูกได้ทุกฤดู ใช้ต้นทุนต่ำ ทำเงินไว แต่ยังมีคนปลูกน้อยเนื่องจากอากาศที่ร้อนจัด คนไม่สู้ และเมื่อถึงเวลาตอนหัก หาคนงานไม่ได้ เขาจึงหันไปปลูกพืชชนิดอื่นกันหมด แต่ที่ตนยังทำได้เพราะตนปลูกเอง หักเอง ทำทุกอย่างเอง แบ่งปลูกเป็นรุ่น รุ่นละ 2 ไร่ครึ่ง ทำเองคนเดียวได้สบาย วิธีการปลูกก็ไม่ยุ่งยากอะไร

การเตรียมดิน…ไถดะโดยใช้ผาน 3 แล้วตากดินไว้สัก 1 สัปดาห์ เป็นอย่างต่ำ จากนั้นชักร่องแล้วหยอดเมล็ดได้เลย

เตรียมดินปลูกรุ่นใหม่

การหยอดเมล็ด…จะใช้ไม้กระแทก จะไวกว่าใช้มือหยอด ระยะห่างระหว่างหลุม 30 เซนติเมตร 1 หลุม หยอด 4-5 เมล็ด หลังจากหยอดเมล็ดเสร็จให้รดน้ำได้ทันทีเพื่อป้องกันนกพิราบมาจิกกินเมล็ดสร้างความเสียหาย (การรดน้ำเพื่อเป็นการปิดปากหลุมไปในตัว)

การดูแลรดน้ำ… ระบบน้ำจะปล่อยไปตามร่องสวน จากนั้นหมั่นคอยดูแลให้น้ำทุกๆ 2-3 วันครั้ง หลังจากนั้นประมาณ 20 วัน ข้าวโพดจะมีความสูงได้ประมาณสัก 2 คืบ จะเริ่มให้ปุ๋ย

ระยะห่างระหว่างร่อง

การใส่ปุ๋ย…จะพยายามใช้เคมีให้น้อยที่สุด บางรุ่นก็ไม่ได้ฉีดเลย ถ้าจำเป็นต้องใส่จะใส่ปุ๋ยเคมีเพียง 2 รอบ แต่จะใช้ปริมาณน้อยที่สุด รอบที่ 1 ใส่ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 พอใส่ปุ๋ยเสร็จให้หมั่นรดน้ำ แล้วเริ่มใส่ปุ๋ยรอบที่ 2 ตอนที่ต้นกำลังจะดึงยอดคือ ช่วงประมาณ 35-40 วัน ยอดจะตูม แข็ง ช่วงนั้นต้องใส่ปุ๋ยรอบที่ 2 ใส่ปุ๋ยสูตรที่ตัวหลังเยอะหน่อยเพื่อที่จะเพิ่มน้ำหนัก และหลังจากนั้นอีกประมาณ 3 วัน ยอดจะเริ่มบานก็จะเริ่มดึงยอดทิ้งเอาไปให้วัว

ปล่อยน้ำเข้าร่องสวน

หลังจากดึงยอดเสร็จ ให้นับไปอีก 5-7 วัน ข้าวโพดจะเริ่มมีฝักให้หักได้ รวมระยะเวลาตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว เพียง 50-55 วัน ถ้ามีคนงานหลายคนจะใช้เวลาหักเพียง 5-7 วัน แต่ที่ไร่หักเองคนเดียว จะใช้เวลาประมาณ 10 วัน ทยอยหักไปเรื่อยๆ

ผลผลิตดก ไร่ละ 2.1 ตัน ถือว่าได้ผลผลิตเยอะกว่าคนในละแวกเดียวกัน เพราะว่าการปลูกของที่ไร่มีเทคนิคพิเศษ ทำน้ำหมักรกหมูไว้ใช้เอง ในถัง 200 ลิตร ปล่อยไปตามร่องสวน และฉีดพ่นเป็นระยะ เป็นการบำรุงพืชใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับสวนใกล้เคียงที่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีรุ่นละ 2 รอบเท่ากัน แต่ปริมาณการใส่จะต่างกันมาก อย่างปกติทั่วไปจะใส่ปุ๋ยเคมี ไร่ละ 1 ถุง ของที่ไร่ในพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง จะใส่ปุ๋ยเคมีไม่ถึง 1 ถุง นอกจากนี้ จะอาศัยน้ำหมักรกหมูตลอด ทั้งฉีดและให้ไปกับน้ำ

รอพ่อค้ามารับ

สูตรน้ำหมักรกหมู
เพิ่มผลผลิตดก ลดต้นทุนค่าปุ๋ย

เจ้าของบอกว่า เนื่องจากมีความสนใจในเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์เป็นพิเศษ และได้มีโอกาสเข้าร่วมอบรมการทำเกษตรที่มหาวิทยาลัยเกษตรกรศาสตร์ กำแพงแสน มีช่วงหนึ่งของการอบรมมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำน้ำหมักชีวภาพไว้ใช้เอง ตนเกิดความสนใจเป็นพิเศษจึงตั้งใจฟังและจดเนื้อหาที่เข้าอบรมเพื่อมาเป็นแนวในการกลับมาทำเกษตรอินทรีย์ที่บ้าน มีการดัดแปลงสูตรมาเรื่อยๆ เพื่อให้ตรงกับสภาพพื้นที่ของตัวเอง จนได้สูตรน้ำหมักรกหมูมาใช้จนถึงปัจจุบันนี้

“ช่วงแรกที่ทำ จะได้รกหมูมาจากคอกหมูของเพื่อนที่เขาเลี้ยงหมูขาย แล้วหมูของเพื่อนคลอดลูก เราก็ถามเพื่อนว่า รกหมูที่ได้มาตรงนี้จะเอาไปไหน เพื่อนก็ตอบกลับมาว่าก็เอาไปทิ้งหละสิจะเก็บไว้ให้เน่าเหม็นหรือไง พอเพื่อนบอกจะเอาไปทิ้งจึงคิดขึ้นมาว่าอยากทดลองทำน้ำหมักรกหมูตามตำราที่เคยได้อ่านมา จึงเอ่ยปากขอรกหมูกับเพื่อน เพื่อนก็ถามว่าจะเอาไปทำอะไร เราก็ตอบไปแบบติดตลกว่าไม่เอาไปกินหรอกหน่า แต่จะเอาไปทำน้ำหมัก ตอนนั้นได้รกหมูจากเพื่อนมาประมาณ 10 กิโลกรัม ก็นำรกหมูทั้งที่ยังไม่ได้ล้างมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปใส่ในถังหมัก 200 ลิตร อัตราส่วนรกหมู 10 กิโลกรัม กากน้ำตาล 5 กิโลกรัม หัวเชื้อพด.2 จำนวน 2 ซอง ใส่ไปในถังแล้วปิดฝาไว้ แต่พอหมักไปได้ 3 วัน เกิดกลิ่นเหม็นขึ้นมา จึงนึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเจอว่าถ้าใส่สับปะรดหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจะช่วยลดกลิ่นลงได้ ก็เลยไปซื้อสับปะรด มะม่วง ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวมาสับใส่เข้าไป กลิ่นก็ดีขึ้น 2 วัน เปิดคนทีหนึ่ง หมักทิ้งไว้ 4-5 เดือน สามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วหมักเพียง 3 เดือนก็ใช้ได้แล้ว แต่ของเรามีการใส่รกหมูเพิ่ม ใส่ส่วนผสมเพิ่มไปเรื่อยๆ มีการเปิดฝาบ่อยจึงต้องใช้เวลานานกว่าปกติ แต่ถ้าเป็นสูตรที่มือใหม่อยากทดลองทำแนะนำให้ผสมส่วนผสมทีเดียวให้เต็มถังไม่ต้องเปิดเติมบ่อยๆ ส่วนผสมก็มีรกหมู กากน้ำตาล หัวเชื้อพด.2 เปลือกสับปะรด น้ำสะอาด ใส่รวมคนให้เข้ากันหมักไว้ในถัง เปิดคนทุก 2 วัน 3 เดือนเริ่มนำมาใช้ได้ แต่ถ้าไม่รีบใช้แนะนำให้หมักทิ้งไว้ไปถึง 5-6 เดือน เพราะยิ่งหมักนานยิ่งดีส่วนผสมจะเกิดการย่อยสลาย จะได้ประสิทธิผลที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย” พี่ดา กล่าวถึงที่มาและสูตรน้ำหมักรกหมู

ผักที่ปลูกกินเองข้างบ้าน

อัตราการใช้
สำหรับฉีดพ่นอัตราส่วนน้ำหมักรกหมู 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร นำมาฉีดพ่นช่วงเช้าๆ ฉีดพ่นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และปล่อยให้ตามน้ำด้วย ถือเป็นเทคนิคที่เพิ่มผลผลิตได้เป็นอย่างดี ผลผลิตที่ได้ออกมาน้ำหนักดี สีเหลืองสวย กรีดออกมาเรียงกันเป็นแถวสวยงาม

 

แถวชิด เม็ดเรียงตัวกันสวย

รายได้ต่อ 1 รอบการปลูก
2 ไร่ครึ่ง ประมาณ 40,000 บาท

หักต้นทุนไปแล้วยังเห็นกำไร สามารถนำมาจุนเจอครอบครัวได้เป็นอย่างดี ราคาขายขึ้นอยู่กับช่วงเวลา ช่วงราคาดี ขายทั้งเปลือกกิโลกรัมละ 6-7 บาท ช่วงราคาถูกกิโลกรัมละ 4-5 บาท จะอยู่ในราคานี้ไม่ต่ำไปกว่านี้ ซึ่งนอกจากขายฝักอ่อนไปแล้ว ส่วนอื่นก็สามารถสร้างเงินได้อีก ไม่มีส่วนไหนที่ต้องทิ้งเลยตั้งแต่ต้น ยอด เปลือกที่กรีดออกมา นำไปขายให้คนเลี้ยงวัวได้ หรือถ้าไม่ขายต้นก็สามารถไถกลบเพื่อบำรุงดินต่อไปได้ จะเห็นได้ว่าทุกส่วนของข้าวโพดไม่ได้มีส่วนไหนที่ต้องทิ้งโดยเปล่าประโยชน์และไม่ได้เงินเลย ถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ดีอีกทางหนึ่งเพียงแค่ต้องขยันสามารถปลูกเอง หักเองได้ ไม่ต้องง้อแรงงานคนอื่น

ตลาด…มีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่ อยากปลูกตอนไหนเวลาไหนก็ได้พ่อค้ารับหมด เพราะความเชื่อใจและผลผลิตที่ออกมาสวยเป็นที่ต้องการของตลาด เขามารับไปขายก็ขายได้ราคาดี

 

เป็นเกษตรกรแบบพอเพียง
ทำเท่าที่ไหว ดีอย่างไร

“ทุกวันนี้มีความสุขกับการเป็นเกษตรกรมากๆ ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แค่ในทุกวันมีกิน ไม่ต้องกระเสือกกระสนไปหาของกินที่อื่น ตกเย็นมาก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนว่าจะมีอะไรกินไหมเพราะที่ข้างบ้านเรามีผักผลไม้ให้เลือกเก็บกินมากมาย ไข่ก็มี ผักก็มี ทุกอย่างไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องกลัวว่าจะอดแค่นี้ก็พอใจแล้ว” พี่ดา กล่าวทิ้งท้าย

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อเบอร์โทร. (061) 561-1656

 


พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน, มติชนสุดสัปดาห์ และศิลปวัฒนธรรม ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่